นักทฤษฎีการบริหารบางคนเชื่อว่า ทัศนคติ
และความเชื่อ
เกี่ยวกับคนทำงานที่ถูกครอบงำโดยผู้จัดการอาวุโสในองค์กรปัจจุบันนี้
ส่วนใหญ่แล้วมาจากความคิดของคนคนหนึ่ง
ผู้ซึ่งคนทำงานส่วนใหญ่แล้วเด็กเกินกว่าจะได้ยินชื่อ คนคนนั้นคือ
Frederick Winslow Taylor
และเขาเป็นเจ้าของความคิดที่ยิ่งใหญ่ในช่วงสองทศวรรษของศตวรรษที่
20 เขาเป็นคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของทฤษฎีการบริหารรุ่นแรกๆที่มีชื่อเสียง
และแนวความคิดของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาสังคมอุตสาหกรรมของอเมริกาในช่วงนั้น
ความคิดของ Taylor
ได้ถูกนำมาใช้และประยุกต์โดยผู้นำทางอุตสาหกรรม
ผู้ซึ่งสร้างกลุ่มนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ ณ วันนั้น
คุณไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้ดีในทุกวันนี้
: ปีศาจ Frederick Taylor
Taylor
เป็นวิศวกรที่ได้ศึกษาประสิทธิภาพของแรงงานทางฟิสิกส์
โดยทั่วไปแล้วทางด้านโรงงานและการปฏิบัติการเบื้องต้นในการผลิต
เขาได้ศึกษาการเคลื่อนย้ายเหล็กของคนงาน และคนงานอี่นๆในโรงงาน
Bethlehem Steelใน Maryland
ซึ่งทำให้เขาสรุปได้ว่า
ธุรกิจนี้ไม่สามารถทำเงินได้คุ้มค่าจ้างที่จ่ายให้คนงาน
Taylor เชื่อว่า มีเหตุผล 2
ประการคือ หนึ่ง
ความไม่มีประสิทธิภาพของขั้นตอนการทำงาน และอีกข้อหนึ่งคือ
การจูงใจพื้นฐาน โดยให้คนงานที่จ้างมาส่วนใหญ่ทำงานน้อยที่สุด
Taylor
ถ่ายทอดความคิดของเขาไปสู่วิศวกรโรงงาน,
ที่ปรึกษา และวิศวกรอุตสาหการรุ่นใหม่ ผู้ซึ่งเป็น
เครื่องมือในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure )
สำหรับระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่
แม้ว่า Taylor
ช่วยริเริ่มนวัตกรรมใหม่ ๆด้านการออกแบบสถานที่ทำงาน
และความคิดของเขาได้กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาวิธีการทางด้านวิศวกรรมอุตสาหการ
ที่เรียกกันว่าการศึกษาเวลาและการเคลื่อนที่( time and motion
study )
นอกจากนี้นักเรียนด้านประวัติศาสตร์ธุรกิจจำนวนมาก
รู้สึกว่าภาพที่ลบออกไม่ได้ของเขาคือ
ทรรศนะที่ว่าคนงานเปรียบเหมือนอะไหล่ธรรมดาๆที่แลกเปลี่ยนกันได้ของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต
นี่เป็นหลักฐานเล็กน้อยที่ Taylor
ได้รับรู้ถึงองค์ประกอบทางจิตวิทยาหรือสังคมของความสัมพันธ์ของลูกจ้างที่มีต่อบริษัท
ซึ่งอยู่นอกเหนือไปจากโครงสร้างของอำนาจหน้าที่ซึ่งกำหนดโดยผู้บริหาร
แน่นอน
เราจะต้องรับรู้ไว้ว่ามีคนที่ไม่ชอบทำงาน ต่างคนก็ต่างเจตคติเกี่ยวกับการทำงาน
และแต่ละคนมีวิธีการดำรงชีวิตเฉพาะแนวทางของเขา บางคนจริง ๆ
แล้วเห็นแก่ตัว,
มีเจตคติที่ทำให้ตัวเองพ่ายแพ้เกี่ยวกับงานและอาชีพ
บางคนเชื่อว่างานเป็นเพียงหนทางในการหาเงินโดยให้ตนมีความลำบากเพียงเล็กน้อยเท่าที่จะทำได้
บางคนในกลุ่มทำงานมีปัญหาเรื่องการหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง,
บางคนมีข้อบกพร่องในสังคม
และบางคนมีความปรารถนาที่จำกัดในการดำรงชีวิตของเขา
คนทำงานบางคนจริง ๆ แล้ว สมควรจะได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มพวกไม้ตายซาก(dead-wood)
หรือคนระเหเร่ร่อนแต่ไม่ทั้งหมดที่เป็นอย่างนั้น
ปัญหาของ Taylor
มาจากการรวมกลุ่มลูกจ้างทั้งหมดให้อยู่ในกลุ่มที่ไม่มีแรงจูงใจ,
ไม่ให้ความร่วมมือ,
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
เป็นกลุ่มคนซึ่งจะต้องถูกบังคับขู่เข็ญให้ส่งมอบคุณค่าเพื่อชดเชยค่าจ้างที่เขาได้รับ
นักทฤษฎีการบริหาร Douglas McGregor
ซึ่งเขียนเรื่องการศึกษาเจตคติของผู้บริหาร
“Human Side of Enterprise”
อธิบายเกี่ยวกับข้อคิดเห็นของมนุษย์เป็น “ทฤษฎี
X” เขาได้ให้แนวคิดที่ตรงข้ามทฤษฎีนี้คือ
“ทฤษฎี Y”
ซึ่งพรรณนาทรรศนะที่ซับซ้อนของมนุษย์ในการจัดพลังงานให้เหมาะสม
เพื่อสอดคล้องกับการนำเสนอแรงจูงใจ ซึ่งมีความหมายเป็นอย่างมาก
สำหรับพวกเขาแต่ละคน
ถึงอย่างไรก็ตามความพยายามของผู้เขียนด้านการบริหาร,
ที่ปรึกษา และนักจิตวิทยาส่วนใหญ่และ CEO
ที่มีวิสัยทัศน์จำนวนมาก
เพื่อสนับสนุนทรรศนะความเป็นมนุษย์ของคนในที่ทำงาน
ปีศาจ “Frederick Taylor”
ยังคงเดินอยู่บนพื้นดิน ทรรศนะของ Taylor
สมมุติฐานเกี่ยวกับฝูงสัตว์ที่กล่าวไว้ในบทที่ 5
หรือ ทรรศนะเกี่ยวกับทฤษฎี X
ของ McGregor คนเป็นเช่น livestock
ยังคงเป็นเรื่องปกติในองค์กรส่วนมาก
โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ ๆ ข้อคิดเห็นของนักบริหารกล่าวไว้ว่า “คนเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของเรา”
คุณเปลี่ยนแปลง( turn on)
คนได้อย่างไร ? คุณไม่ทำหรือ?
“ดรรชนีความกระตือรือร้น ”
คือสิ่งที่เขาเรียกมัน CEO
ขององค์กรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ตัดสินคนทีเพิ่งรับเข้ามาใหม่ในบริษัทว่า
เรายังทำงานหนักไม่มากพอ ,ไม่มอบหมายหน้าที่มากนัก
และโดยสรุปแล้วเรา ไม่กระตือรือร้นมากนัก
พวกเขาไม่แบ่งปันคุณค่าเดียวกันกับที่องค์กรต้องการ พวกเขาไม่ได้แสดงการขับเคลื่อนอย่างเดียวกัน
การแข่งขันเชิงรุกในทางเดียวกัน
และมีจุดประสงค์การเอาจริงเอาจังเหมือน ๆ กันกับพวกเขาได้ทำ
ดังนั้นจึงเตรียมการเกี่ยวกับให้พวกพนักงานใหม่ปรับปรุงเรื่องความกระตือรือร้น
ถ้าคุณยังคงถามคำถามอย่างเช่นคุณเปลี่ยนแปลงคนได้อย่างไร
แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจว่าจะเปลี่ยนอะไรของคน”
ฉันตักเตือนว่า “คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้
ความผิดพลาดของคุณคือการคิดตามตัวอักษร การจูงใจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คุณทำกับพวกเขา
เหมือนกับการเติมน้ำมันเครื่อง คุณจะต้องเปลี่ยน paradigm
ใหม่
สิ่งที่คุณสามารถทำได้คือสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำให้พวกเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงได้
เราเรียกว่าวิสัยทัศน์
การกระตุ้นมาจากความหมาย และความเป็นผู้นำเริ่มจากความหมาย
แรงจูงใจและผู้ขาดแรงจูงใจ :
ปีศาจ Frederick Herzberg
Fortune
ได้ออกรายงานให้เครดิตบริษัทหลายแห่งที่ทำให้ดีที่สุดจากสถานการณ์ที่เลวร้าย
เมื่อ 11 ก.ย. โดยการจัดการด้วยความชำนาญ
ชื่อสัตย์ และลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวของบุคคลลง
บางกรณีได้สัญญาว่าจะทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยกลุ่มคนขององค์กร
และสิ่งที่สำคัญคือความเข้าใจที่หนักแน่น
ซึ่งเป็นรากฐานแห่งความจริงเกี่ยวกับทำไม
ผู้คนรู้สึกอย่างที่เขารู้สึกเกี่ยวกับงานของพวกเขา เจ้านาย
และบริษัทที่จ้างเขา
Fortune
ได้รายงานยืนยันความจริงเบื้องต้นเกี่ยวกับการจูงใจ
ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นที่เชื่อถือได้ประเด็นแรกเมื่อหลายปีก่อนในหนังสือของเขาหรือ
Work and the Nature Man โดย
Professor Frederick Herzberg
อย่างไรก็ตามผู้บริหารอาวุโสจำนวนน้อยมากที่คุ้นเคยกับหลักความจริงของ
Herzberg ซึ่งบ่อยครั้งก่อให้เกิความเสียหายของวัฒนธรรมในองค์กรของพวกเขา
บ้างสามารถเห็นช่วงทัศนคติ
และเชื่อในส่วนของผู้บริหารอาวุโสไปยังข้อเสนอของคน วัฒนธรรม
และมีแนวทางในการจัดการธุรกิจ ด้านหนึ่งมันเกี่ยวกับเงิน อำนาจ
การดำเนินงานในสต็อก ผู้ถือหุ้น การเติบโต อีกด้านหนึ่ง
มันเกี่ยวกับการสร้างประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพของสังคมที่ย่อส่วนลงมาของคนที่อุทิศเพื่อให้
บริษัทประสบความสำเร็จ
และด้วยเหตุนี้ได้ช่วยสร้างคุณค่าให้ผู้ถือหุ้น ลูกค้าและสังคม
ซึ่งเขาให้ความไว้วางใจบริษัท
Herzberg เสนอทฤษฎีง่าย ๆ ของการจูงใจมนุษย์
และโต้แย้งว่ามันง่ายที่ผู้บริหารและผู้จัดการส่วนมากมีปัญหาที่จะจับเอาไว้
เขาเรียกว่าทฤษฎีสองปัจจัย หรือทฤษฎี “Motivation-Hygiene
Theory” ตามหลักของ Herzberg
ผู้นำจะต้องเข้าใจสองมิติของการจูงใจ :
อะไรที่ไม่จูงใจ และอะไรที่จูงใจพวกเขา การวิจัยของเขาแสดงชัดเจนว่า
“ผู้มีแรงจูงใจ”
ไม่ได้อยู่ตรงข้ามกันกับ “ผู้ขาดแรงจูงใจ”
ยกตัวอย่างเช่น
คนทำงานอาจได้รับแรงจูงใจให้ทำงานให้ได้ผลดีน้อยกว่าเมื่อถูกบังคับให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่สบายใจหรือไม่สะดวกสบาย
แต่การทำให้สถานที่ทำงานมีความสะดวกสบาย
อาจจะมีอิทธิพลต่อคนทำงานให้หยุดการทำงานแย่ ๆ
และเริ่มการทำงานในระดับที่ยอมรับได้
ผู้จัดการมีความรู้สึกโน้มเอียง อย่างน้อยโดยสัญชาตญาณว่าพนักงานส่วนใหญ่สามารถทำได้มากกว่า,
คิดได้มากกว่า,
สร้างสรรค์ได้มากกว่า ,ร่วมมือมากขึ้น
และใส่คุณค่าลงในงานมากขึ้น คำถามคือ :
เราสามารถชักจูงให้พวกเขาช่วยเหลือมากกว่ากฎในหนังสือ
หรือตามลักษณะงานที่กำหนดได้อย่างไร
นี่เป็นคำถามสำคัญที่ทำให้ผู้บริหาร
และผู้จัดการรำคาญมากว่าศตวรรษแล้ว Herzberg
ตอบคำถามนี้แต่ผู้นำทางธุรกิจส่วนน้อยที่ต้องการจะสละเวลาในการเรียนรู้ว่าคำตอบเป็นอย่างไร
ตามทฤษฎี
Herzberg ผู้ขาดแรงจูงใจ หรือ Hygiene
Factor
ตามที่เขาเรียกโดยใช้ความคล้ายคลึงกันทางการแพทย์
คือเงื่อนไขหรือประสบการณ์ที่ทำให้คนงานรู้สึกเหินห่างจากการทำงาน
และผลที่สุดก็คือโน้มเอียงที่จะลดการลงทุนใช้พลังส่วนบุคคลเพิ่มเติมในการทำงาน
เมื่อผู้ไม่ถูกระตุ้นมีมาก เช่นเงื่อนไขการทำงานที่แย่ ,ไม่ปลอดภัย,
หรือไม่สบายใจ ,
งานที่ปลอดภัยน้อย ,ถูกลงโทษ
หรือการปฏิบัติไม่ดีโดยผู้ควบคุม หรือจำนวนปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้
“ประสิทธิภาพของชีวิตการทำงาน”
ลดน้อยลง
คนจะมีความโน้มเอียงที่จะลงทุนเพียงเล็กน้อยหรือใช้พลังงานอย่างสุขุมในการทำงาน
ขั้นตอนแรกตามหลัก Herzberg
คือการชัดแจ้งในการจำกัดผู้ไม่มีแรงจูงใจ หรือ
Negative Hygiene Factor
ออกไป
มันไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะหวังเมื่อคนอยู่ในสถานะความเจ็บปวดทางจิตใจ
พวกเขามีความรู้สึกรุนแรงที่จะประสบกับความสำเร็จ
ขวัญกำลังใจหรือพวกเขาต้องการเห็นบริษัทประสบความสำเร็จ
บริษัทเด่น ๆ อยู่ได้ยาว เมื่อกำจัดผู้ขาดแรงจูงใจออกไป
และเริ่มทำงานกับผู้ที่ถูกกระตุ้นตามทฤษฎี
Herzberg แรงจูงใจเป็นโอกาสทางจิตวิทยา
โอกาสที่จะประสบความรู้สึกทางบวกเกี่ยวข้องกับแนวทางการปฏิบัติตัวเพื่อสนับสนุนความสำเร็จของบริษัท
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสมาชิกของกลุ่มทำงานมืออาชีพ
มีแรงจูงใจให้ส่งรายงานทางเทคนิค สำหรับการเสนอในที่ประชุมอุตสาหกรรม
และบริษัทจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
พนักงานมีโอกาสทำให้ความต้องการระดับที่สูงขึ้นลำดับชั้นของ
Abraham Maslow บรรลุผลได้
มากกว่าความเกี่ยวเนื่องกับการได้เงินเดือน ความภูมิใจ
ความเคารพในตำแหน่งของคน ๆ หนึ่ง การสรรเสริญ
และเป็นที่จดจำได้ของผู้บริหาร และประสบการณ์ที่ท้าทายสติปัญญา
ทั้งหมดนี้สามารถมีอิทธิพลต่อพนักงานให้รู้สึกว่าเป็นส่วนสำคัญของบริษัท
ถ้าจากผลนี้
พนักงานช่วยทำงานมากขึ้น และใช้พลังสุขุมรอบคอบมากขึ้น
ดังนั้นเราสามารถพูดได้ว่าประสบการณ์เป็นปัจจัยการจูงใจสำหรับบุคคลในสถานการณ์นั้น
โดยสรุปทฤษฎีของ
Herzberg ผู้ขาดแรงจูงใจเป็นคนเหินห่าง
แต่การเอาผู้ขาดแรงจูงใจออกไม่ได้กระตุ้นพวกเขา
แรงจูงใจที่แท้จริงคือโอกาสที่สนองคความต้องการทางด้านจิตวิทยาส่วนบุคคล
ความต้องการเป็นสมาชิก,เป็นที่ยอมรับ
และรวมอยู่ในกลุ่ม,ความต้องการความสำเร็จ,ความต้องการให้มีการรับรู้ว่าตนเองมีคุณค่า
และต้องการเติบโตส่วนบุคคล
หลักเกณฑ์ที่น่าสนใจของความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานและบริษัทกว่าหลายปีที่ผ่านมาคือการขาดระบบการแนะนำให้พนักงาน
ซึ่งเรียกว่า
“กล่องรับคำแนะนำ”
(Suggestion Box)
Herzberg กล่าวว่าโอกาสในการเสนอความคิดและแนะนำ
การส่งการประเมินกลับไปสู่ผู้นำและมีส่วนร่วมในการปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติของธุรกิจ
สามารถเป็นแรงจูงใจในองค์กรและต่อตัวเอง
การทำให้สำเร็จพร้อมกับทัศนคติของการสร้างชุมชน
การร่วมแสดงความคิดเห็น และร่วมกันมองหาทางที่ดีกว่าในการทำธุรกิจ
ระบบการมีส่วนร่วมของพนักงานไม่เพียงแต่สามารถประหยัดเงินและขยายผลกำไร
แต่สามารถสร้างขวัญ และพันธสัญญาของพนักงาน
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท และกับการแพร่หลายของ E-Mail
และระบบข้อมูลทาง Web
การรวบรวมความคิดที่ดี ๆ
ของพนักงานง่ายยิ่งกว่าอะไร
ความหมายและการจูงใจ
:
พลังอำนาจแห่งเหตุทั่วไป
ทำไมลัทธิเกิดขึ้นได้ อะไรที่นำคนเข้าร่วมกลุ่มแปลกหน้า
ทำตามกฎและพิธีทางศาสนาของเขา เข้าร่วมพฤติกรรมที่ผิดปกติทางสังคม
แม้แต่ความเป็นไปได้ที่จะฝ่าฝืนกฎหมายและยอมเสียความเชื่อถือส่วนบุคคลของเขาหรือเธอให้กับความคิดแปลก
ๆ ของคนประหลาดบางคน คำตอบง่าย ๆ คือ
การเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างที่ให้ความหมายต่อชีวิตเขาหรือเธอ
บางชีวิตมีความหมายน้อยมากและเจ้าของชีวิตมีความรู้สึกในคุณค่าของตัวเองน้อย
ซึ่งใช้เวลาไม่มากที่จะเติบโตให้เต็ม
แต่โดยปกติของมนุษย์ คนที่ทำงานเพื่อชีวิต และจัดการชีวิต
มีความต้องการทรัพย์สมบัติ และปัจจัยทั่วไป
ความจริงบริษัทธุรกิจบางแห่งประสบความสำเร็จในการจับจินตนาการ
และความมีส่วนร่วมส่วนตัวของพวกเขามากกว่าความเชื่อในทางที่วัฒนธรรมปฏิบัติอยู่
พลังแห่งเหตุทั่วไปมีอิทธิพลอย่างน่ากลัวที่สุดที่ถูกพบในธรรมชาติของมนุษย์
เมื่อมันเกิดขึ้น คนถูกระดมทางด้านจิตวิทยา
เมื่อมันไปพวกเขาเพียงทำตามหน้าที่
Robert F. Merger
บุคคลหนึ่งที่น่านับถือที่สุดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของพนักงาน
และการพัฒนา บ่อยครั้งที่จะพูดถึงอาการของผู้นำ ซึ่งเขาเรียกว่า
“You really Oughtawanna”
โดยความหมายว่าผู้บริหาร ผู้จัดการ
และผู้ควบคุมบ่อยครั้งที่แสดงความสนใจส่วนตัวไปที่การหยั่งรู้ของเขาเองต่อพนักงาน
เมื่อพวกเขาพยายามกระตุ้นพวกเขา
ความคิดที่จะเห็นพนักงานจับยึดภารกิจและไปสู่ความสำเร็จ
มันยั่วให้เจ้านายพยายามกดดันพวกเขาไปสู่ความต้องการที่จะทำ
พวกเขาตกอยู่ในรูปแบบของความพยายามที่จะขาย
การกระตุ้นส่วนตัวไปสู่ทีม
คุณภาพของชีวิตการทำงาน
:
เครื่องวัดการเปลี่ยนแปลงของหัวใจ
นักจิตวิทยาในวงการอุตสาหกรรมรู้มากว่าหลายปี
ถึงองค์ประกอบพื้นฐานของความเข้าใจพนักงานเกี่ยวกับคุณภาพของชีวิตการทำงาน
ประสบการณ์การทำงานทั้งหมดของบุคคลซึ่งเป็นเหมือนพลเรือนของบริษัท
ในขณะที่คุณภาพสูงของชิวิตการทำงานไม่รับประกันการปฏิบัติงานที่โดดเด่น
เหมือนกับที่ Frederick Herzberg
ได้เตือนเราว่าคุณภาพของชีวิตการทำงานที่ต่ำแน่นอนว่าเป็นเหตุผลให้สมรรถภาพในการทำงานลดลง
ความไม่สบายใจของพนักงานยากที่จะทำงานหนัก
ช่วยเหลือด้วยความกระตือรือร้น หรือเพิ่มคุณค่าให้กับงานมาก ๆ
เท่ากับพนักงานที่รู้สึกเคารพ มีคุณค่า และเห็นคุณค่าต่องานที่ทำ
เราสามารถให้คำจำกัดความของคุณภาพของชีวิตการทำงาน ครอบคลุม
10
ข้อหลักด้วยกัน |
1. |
งานมีคุณค่าที่จะทำ งานที่มีเกียรติ
ช่วยให้บางอย่างมีคุณค่า และใช้ความสามารถของบุคคลทำงาน |
2. |
สภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม
สถานการณ์ที่ปลอดภัย สะอาด สะดวกสบายและไม่มีความเครียด
จากการบริหาร สามารถเป็นเหตุผลที่ทำได้
พิจารณาจากความต้องการและการบีบบังคับที่กำหนดโดยธรรมชาติของธุรกิจ
และการทำงานที่เกี่ยวข้อง |
3. |
การจ่ายและผลประโยชน์ที่เหมาะสม
การชดเชยที่ยุติธรรมสำหรับการช่วยเหลือคน ๆ
หนึ่งคุณค่าโดยรวมทั้งกลุ่มที่ทำให้การจัดระบบการทำงานน่าสนใจ
เทียบกับทางเลือกอื่นที่มีอยู่ |
4. |
ความปลอดภัยในการทำงาน
เป็นเหตุผลที่รับรองว่าถ้าคน ๆ หนึ่งทำงานได้ดี
เขาหรือเธอสามารถมีความคาดหมายที่สมเหตุสมผลในอนาคตกับบริษัท |
5. |
ผู้ควบคุมดูแลที่มีความสามารถ
เจ้านายที่มีความสามารถในการบริหาร มีมนุษยธรรม
และทำตามความต้องการพนักงาน ซึ่งรวมถึงอธิบายความคาดหมาย
และลำดับของการทำงานให้ความช่วยเหลือ
และสนับสนุนตามความจำเป็นให้วิธีการที่จำเป็นให้การประเมินการปฏิบัติงาน
แก้ไขการปฏิบัติงานที่มีปัญหาด้วยความเห็นอกเห็นใจและยุติธรรม
และสร้างทีมที่มีคุณภาพ |
6. |
รู้คุณค่าของการช่วยเหลือคน ๆ หนึ่ง
ความเข้าใจว่าเจ้านายของคน ๆ หนึ่ง ผู้ร่วมงาน
และการบริหารงานที่เป็นที่จดจำทั่วไป
และรู้คุณค่าของบุคคลที่ช่วยนำไปสู่ความสำเร็จของบริษัท |
7. |
โอกาสในการเรียนรู้และเติบโต งานที่ได้รับมอบหมาย
งานพิเศษ โปรแกรมการอบรมการฝึกสอนจากเจ้านาย
และให้คำแนะนำเพื่อให้บุคคลเรียนรู้ และเชี่ยวชาญ
เพื่อให้มีความแข็งแกร่งในการช่วยเหลือ
และมีประโยชน์ต่ออาชีพของเขาและเธอ |
8. |
โอกาสที่ควรได้รับตามคุณความดี
ความยุติธรรมในการโปรโมทให้ได้โอกาสและความรับผิดชอบที่ดี
ขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือ และความสามารถแต่ผู้เดียว
โดยปราศจากการแบ่งแยกเพศ เผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ และเหตุอื่น ๆ
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน |
9. |
รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม
ความรู้สึกของการอยู่ร่วมกัน การมีส่วนร่วม
และมีคุณค่าเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของหน่วย แผนก
และบริษัทโดยมวลรวม
ซึ่งรวมถึงการมีส่วนร่วมเต็มที่ในกิจกรรมกลุ่ม
สนุกกับความรู้สึกของมิตรภาพ ข้อเสนอ
การรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและได้รับข่าวสารล่าสุด
และรู้สึกเป็นที่ต้อนรับ เมื่อมาอยู่ร่วมกัน |
10 |
ความยุติธรรมและซื่อสัตย์
ความรู้สึกว่ากฎของบริษัททั้งให้รางวัลและการลงโทษ
ให้ความเท่าเทียมกันทั้งหมด
เมื่อคนที่ทำงานหนักเห็นคนที่ไม่ทำงานหนักได้รับรางวัล
และประโยชน์เหมือน ๆ กัน พวกเขารู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม
เมื่อคนเห็นกฎข้อบังคับเซทหนึ่งสำหรับผู้ชาย
และอีกเซทสำหรับผู้หญิง หรือการปฏิบัติอื่น ๆ ที่ไม่เหมือนกัน
พวกเขารู้สึกถูกปฏิบัติไม่ยุติธรรม
เมื่อพวกเขาไม่มีความซื่อสัตย์ เกมการเมือง อุปนิสัยการลอบฆ่า
และพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัว
พวกเขาที่พยายามสนับสนุนส่วนที่ดีของบริษัทรู้สึกว่าพวกเขาถูกหลอกลวง
ความยุติธรรมคือความยุติธรรมสำหรับทั้งหมด
ตามกฎข้อบังคับการจัดการที่ดำรงอยู่ |
ดัชนีที่สำคัญของหัวใจ
:
เพื่อประเมินสถานะหัวใจในองค์กรของคุณ
ถามตัวคุณเองอย่างน้อยด้วยคำถามต่อไปนี้ |
1. |
พนักงานเข้าใจถึงคุณภาพชีวิตการทำงานโดยรวม
ในองค์กรสูงเพียงใด |
2. |
พนักงาน เชื่อว่าผู้บริหาร
มีความสนใจเรื่องหัวใจดีที่สุดหรือไม่ |
3. |
พนักงานอธิบายความรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าขององค์กรหรือไม่ |
4. |
พนักงานมีความตั้งใจที่จะเพิ่มความพยายามเพื่อช่วยเหลือองค์กรให้ประสบความสำเร็จถึงเป้าหมายขององค์กร
หรือไม่ |
5. |
พนักงานอธิบายพูดถึงโอกาสด้านอาชีพของเขากับองค์กรในแง่ดีหรือไม่ |
6. |
ผู้จัดการมีวิธีการทำงานของเขาเต็มไปด้วยพลัง
ความกระตืนรือร้น และมองโลกในแง่ดีหรือไม่ |
7. |
ตัวแบบพันธสัญญา พลัง ความกระตือรือร้น
มองโลกในแง่ดีของผู้จัดการอยู่ในสายตาของพนักงานหรือไม่ |
|
|