ในองค์กรที่ฉลาดนั้นควรที่จะมีระบบการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อที่จะให้คงไว้ซึ่งประสิทธิภาพทางการแข่งขัน
หากเปรียบกับสรีระศาสตร์ของคนเราก็ย่อมต้องมีระบบควบคุมที่ดี
เพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่อย่างปกติสุข
ในร่างกายของคนเรานั้นจะมีระบบควบคุมอัตโนมัติต่างๆ มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมแรงดันเลือด ระบบควบคุมระดับสารละลายในเลือด
ระบบควบคุมอุณหภูมิ ระบบควบคุมระดับฮอร์โมน ซึ่งการทำงานของระบบต่างๆ
เหล่านี้จะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราตากแดด
เราจะรู้สึกร้อนและเหงื่อออก ระบบลำเลียงเลือกก็จะขยายออก
เพื่อที่จะให้มีเลือดเพียงพอไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เพื่อลดอุณหภูมิลง
ในขณะเดียวกันไตของเราก็จะลดการขับถ่ายปัสสาวะลง
ในองค์กรที่ดีที่ฉลาดนั้นก็มีสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
ซึ่งจะทำหน้าที่ควบคุมให้ทุกอย่างอยู่ในกรอบไม่หลุดไปนอกระบบ
ซึ่งระบบต่างๆ นี้มีทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของบริษัทที่ส่งเสริมกิจกรรมบางอย่าง
และไม่ส่งเสริมกิจกรรมบางอย่าง
หรือที่ไม่เป็นทางการก็เช่นความพอใจและไม่พอใจในผลงานของ CEO
ซึ่งจะเป็นการตัดสินทิศทางและการตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้น
กรณีศึกษา
บริษัทการสื่อสารในออสเตรเลีย ไม่ได้ให้ความสนใจกับลูกค้าเท่าที่ควร
เช่นการรอการติดตั้งหมายเลขใหม่นานนับเดือน
และการรอคอยอันยาวนานต่อบริการหลังการขายต่างๆ
ซึ่งการขาดขบวนการป้อนกลับที่ดี ทำให้การบริหารไม่มีประสิทธิภาพ
ทำให้บริษัทขนาดเล็กได้ส่วนแบ่งตลาดไปมาก
ในบางครั้ง
ที่บางธุรกิจอาจรู้สึกว่าอยากกลับไปทำอะไรเดิมๆ
ที่เป็นความถนัดของตนเองและมีความรู้สึกว่าสิ่งที่ทำหรือคิดขึ้นมานั้นเป็นการเดินผิดทาง
อยากจะเลิกล้มในธุรกิจหรือแนวคิดใหม่ๆ ได้บุกเบิกเพิ่มเติม
แต่ความเป็นจริงแล้ว การกระทำดังกล่าวอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก
มีคำกล่าวว่า “ถ้าคุณต้องการทำในสิ่งที่คุณเคยทำเท่านั้น
คุณก็จะได้เท่ากับสิ่งที่คุณเคยได้เท่านั้น”
ความคิดที่กลัวจนไร้เหตุผลไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงก็นับว่าเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโต
ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง จะเสมือนอยู่กับที่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าเป็นความกลัว CEO อย่างไรก็แล้วแต่
ความกลัวที่มีนั้นอาจจะมาจากการผ่านประสบการณ์ที่เลวร้าย
จากโครงการการเปลี่ยนแปลงที่ล้มเหลว ซึ่งกลายเป็นความทรงจำ
จนไม่กล้าเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ อีก
ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ได้เคยกล่าวไว้ว่า
การทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่
กลยุทธ์ใหม่หรือนโยบายใหม่ นั้น
ผู้นำควรรู้ว่าเมื่อใดควรจะหยุดการกระทำดังกล่าว
หากสิ่งนั้นส่อแววว่าจะไม่คุ้มค่า หรือล้มเหลว ไม่ใช่ดันทุรัง
โดยไม่ยอมรับความจริง หรือขาดการประเมินที่ดีพอ
จนทำให้ดันทุรังใส่งบประมาณไม่เพิ่ม
ซึ่งในที่สุดจะเสียหายหนักยิ่งขึ้น
จากที่ผ่านมามีธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากที่ต้องสูญเสียเงินที่ตนเองสะสมมาอย่างยากลำบาก
เพราะการถอนตัวช้าเกินไปจากความล้มเหลวนั้นๆ
และมีนักลงทุนจำนวนมากที่สูญเสียเงินทุน
ซึ่งเกิดจากผู้จัดการในโครงการต่างๆ
ดันทุรังผลักดันงบประมาณลงไปในโครงการที่ส่อแววความไม่สำเร็จ
แทนที่จะตัดงบประมาณที่ไม่ควรเสียนั้น
ครั้งหนึ่งนักประดิษฐ์ชื่อชาสเตอร์คาลสันได้แสดงให้ผู้บริหารของ IBM
ในสิ่งที่เขาประดิษฐ์ที่เขาได้คิดค้นขึ้นอย่างไม่ปราณีตเท่าใดนัก
และในที่สุดเขาก็ถูกปฏิเสธจาก IBM
ซึ่งเครื่องต้นแบบนั้น ซับซ้อน ยุ่งยาก
และไม่น่าจะผลิตมาขายได้หลังจากนั้นเขาได้นำผลงานไปเสนอหลายๆ
บริษัทที่ประสบความสำเร็จ
แต่ก็ถูกปฏิเสธในสิ่งประดิษฐ์ของเขาทั้งสิ้น
แม้ว่าภายหลังต่อมาสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนั้นคือ Xerox ที่โด่งดังนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น
ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้เรียกมันว่าสิ่งประดิษฐ์โง่ ๆ
ชาสเตอร์ คาสสัน ได้โอกาสนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ของเขาให้ IBM เป็นครั้งที่ 2 แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นเคย ซึ่ง IBM ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา
ทำวิจัยตลาดในสิ่งประดิษฐ์ของเขา
และผลออกมาว่าเครื่องดังกล่าวจะขายได้เพียง 50,000 เครื่องทั่วโลกเท่านั้น ซึ่งเครื่องดังกล่าวก็คือ Xerox รุ่น 914
ซึ่งยอดขายประมาณการนี้นับว่าไม่คุ้มค่า ดังนั้นเขาจึงถูกปฏิเสธจาก IBM แต่ปรากฎภายหลังว่าเครื่อง Xerox รุ่น 914 นั้น สามารถขายได้ 200,000 เครื่อง
จากประสบการณ์ที่ผ่านมามีหลายบริษัทที่ประสบความสำเร็จได้ปฏิเสธการลงทุนที่ไม่น่าจะพลาดไม่ได้
บริษัทที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย
แทบจะไม่เคยเป็นบริษัทที่ประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆ
ตรงกันข้ามหลายครั้งที่ผู้ที่ประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆ
ได้กลายเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทที่ประสบความสำเร็จ
และหลังจากที่กลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จแล้วท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นบริษัทที่ไม่กล้าที่จะลงทุนในนวัตกรรมใหม่ๆ
ไป
โกดักในอดีตนั้น
เป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะเป็นผู้ผลิตที่ผูกขาด
แต่หลังจากที่ฟูจิได้เข้ามาในตลาดก็ได้ทำให้อนาคตต่อมาของโกดักเปลี่ยนไป
และแน่นอนว่าโกดักก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ชาสเตอร์
คาสสันได้เข้าไปเสนอเครื่อง
Xerox รุ่น 914 ด้วยเช่นกัน
แต่โกดักก็ได้ปฏิเสธโอกาสที่ดีดังกล่าว
ซึ่งก็แน่นอนว่าโกดักก็ได้บทเรียนจากการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจที่พลาดไป
ภายหลังโกดักได้ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารตามหลัง Xerox เช่นกัน
แต่นับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
เพราะแทนที่จะหันไปคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ
แต่กลับไปเลียนแบบตามหลังผู้ซึ่งผลก็คือโกดักต้องสูญเสียเงินไปจำนวนมาก
ในขณะเดียวกันหุ้นของโกดักเองก็ล่วงเหมือนตกเหว
ความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นบริษัทที่ชอบออกนวัตกรรมใหม่ๆ
และบริษัทประสบความสำเร็จ เป็นอะไรคล้ายกับทางจิตวิทยา
และวัฒนธรรมซึ่งมันเป็นอะไรที่ต่างกัน
ช่วงกลางทศวรรษ
1970 IBM นับเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ในแวดวง
Personal Computer
ชนิดที่เรียกว่าคู่แข่งแต่ละรายถูกแซงหน้าอย่างรวดเร็ว
และหลายบริษัทก็ต้องปิดตัวลงจากการที่ถูก IBM
แย่งส่วนแบ่งตลาดไป แล้วใครหล่ะที่จะมาเป็นคู่แข่งของ IBM ได้ เป็นบริษัทขนาดใหญ่นะหรือ คำตอบคือเปล่าเลย
แต่กลับเป็น 2 นักประดิษฐ์ Steve Jobs และ Steve Wozniak
ซึ่งได้ร่วมกับพรรคพวกอีกนับร้อย ร่วมประดิษฐ์ CPU ขนาดเท่าแสตมป์ออกมา
และเริ่มออกจำหน่ายตามสโมสรคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งเปิดใหม่
และขณะเดียวกันก็ได้ประดิษฐ์ Personal Computer ออกมาในนาม Apple II
Steve Jobs ได้ออกตะเวนหา
บริษัทที่จะนำเสนอผลงานของเขา แม้กระทั่งกับ Hewlette-Packard ซึ่งท้ายที่สุดเขาก็พบ Mike Markkula ซึ่งเป็นอดีต Vice President
ของ Fairchico Semicondultor
ซึ่งช่วยในด้านการเงินของบริษัทที่ตั้งขึ้น การก่อตั้งของ
Apple นั้นนับว่ากระทบกระเทือนต่อธุรกิจของ
IBM และส่วนแบ่งตลาดของ IBM ก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน
ในอุตสาหกรรมนาฬิกาก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง
ในอดีตนั้นนาฬิกาของสวิสเซอร์แลนด์
นับว่าเป็นเจ้าครองตลาดนาฬิกามาโดยตลอด
แต่แล้วญี่ปุ่นก็ได้ผลิตนาฬิกาดิจิตอลขึ้นมาเพื่อแข่งขัน
และทำได้สำเร็จ กว่าที่นาฬิกาของสวิสเซอร์แลนด์จะกลับมาในรูปแบบใหม่
และมีทั้งนาฬิกาดิจิตอล เวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยไปนับ 10 ปี
บริษัท 3 M เป็นบริษัทหนึ่งที่มีความสมดุลย์ในการที่เป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จและในขณะเดียวกันก็เป็นบริษัทที่มีการออกนวัตกรรมใหม่ๆ
ออกมาสู่ตลาดได้ตลอดเวลา กำไรของบริษัทมากกว่า 50% มาจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกสู่ตลาดไม่เกิน 4 ปี ซึ่งเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ซึ่งต่างกับ
IBM, GE, Siemens หรือ Hewlett-Packard ทั้งนี้เนื่องจาก 3M
เป็นบริษัทที่มุ่งมั่นที่จะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ มาโดยตลอด
และให้กลยุทธ์ในการโฆษณาว่า เป็นผู้ที่มุ่งมั่นในการออกนวัตกรรมใหม่
ๆ “3M Innovator”
ระบบควบคุมคุณภาพ 6
Sigma
"คำถามมีอยู่ว่าระบบ 6
Sigma
เป็นระบบที่สมบูรณ์แบบหรือไม่"
ในปี
1993 บริษัท โมโตโลร่า
มีส่วนแบ่งการตลาดโทรศัพท์มือหนึ่งในสามของโทรศัพท์มือถือทั้งหมดในโลกแต่ในช่วงปลาย
ๆ ทศวรรษ กลับปรากฎว่า ส่วนแบ่งการตลาด รายได้ของบริษัท
และรวมถึงผลกำไร กลับลดลงอย่างรวดเร็ว ในปี 2000
โมโตโลร่า
กลับเสียความเป็นผู้ครองการตลาดให้กับบริษัทซึ่งถือว่าเป็นน้องใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักในปี 1993 นั้นก็คือ โนเกีย
ซึ่งเป็นของฟินแลนด์นั่นเอง ซึ่ง ณ ปี 2000
โนเกียมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นหนึ่งในสามของโทรศัพท์มือถือในโลก
ซึ่งเท่ากับยอดขายของโมโตโลร่า อิริคสัน และซีเมนต์รวมกัน
ในอดีตสมัยที่โมโตโลร่าครองตลาดโทรศัพท์มือถือนั้น
บริษัทได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในการนำระบบบริหารคุณภาพที่ชื่อว่า Six Sigma มาใช้ ซึ่งระบบ
Six Sigma
นี้จะใช้หลักการทางสถิติมาใช้ในการควบคุมคุณภาพ ผลก็คือ
มีของเสียที่เกิดจากขบวนการผลิต 3-4 ชิ้นต่อผลิตภัณฑ์ หนึ่งล้านชิ้นที่ผลิต ซึ่งโมโตโลร่าได้รางวัลยอดเยี่ยมด้านคุณภาพในระดับชาติ
และได้ตั้งมหาวิทยาลัยโมโตโลร่าขึ้น
เพื่อสอนหลักสูตรด้านการบริหารคุณภาพให้กับบริษัทอื่น ๆ
โมโตโลร่านั้นติดอยู่กับระบบอนาลอค
ซึ่งในบรรดาคู่แข่งทั้งหลายได้หันไปพัฒนาระบบดิจิตอล
จนทำให้การใช้งานได้ดีกว่า และมีขนาดที่เล็กกว่า
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการที่โมโตโลร่าประสบความสำเร็จในอดีตรวมถึงการเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านระบบบริหารคุณภาพ
นั้นเองที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาและการก้าวไปสู่เทคโนโลยีอื่น
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเชื่อว่า ผู้บริหารระดับสูงของโมโตโลร่า
ติดอยู่กับวัฒนธรรมที่เชื่อมั่นในการเป็นผู้นำของตนเอง
และความภาคภูมิใจในตนเองเกี่ยวกับความสำเร็จในด้านการเป็นผู้นำที่คิดค้นด้านระบบบริหารคุณภาพ Six Sigma
ซึ่งความรู้สึกและความภาคภูมิใจเช่นนี้เองที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
เพราะเชื่อว่าสิ่งที่มีอยู่นั้นดีอยู่แล้วจริงๆ แล้วระบบบริหารคุณภาพ Six Sigma ไม่ใช่ระบบที่ไม่ดี
ตรงกันข้ามกลับเป็นระบบที่ดีมาก เช่น GE ได้นำไปใช้ในองค์กรของตนอย่างได้ผล
ปัญหาก็คือว่าเมื่อไรที่เราควรจะหยุดการภูมิใจ
และหันกลับไปพัฒนาอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
หรืออะไรที่ดีกว่า แทนที่จะมัวติดกับความสำเร็จเก่าๆ
หลายบริษัทก็เคยมีประสบการณ์เช่นนี้เหมือนกัน
คือไม่ได้ผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จนับสิบปี
เพราะเป็นการยากที่จะเปลี่ยนในสิ่งที่ตัวเองถนัดอยู่แล้วไปหาสิ่งใหม่
ๆ ที่ต้องเริ่มต้นใหม่
การจัดองค์กรสำหรับการเปลี่ยนแปลง
เมื่อบริษัท
Lockheed
ได้รับความไว้วางใจในการผลิตเครื่องบินสอดแนมที่เรื่องชื่อ UC เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของกองทัพสหรัฐอเมริกา
ซึ่งบริษัทได้ตัดสินใจตั้งทีมทำงานเฉพาะกิจ สำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะ
แทนที่จะใช้โครงสร้างองค์กรปกติที่มีอยู่
การออกแบบนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของ Kelly Johnson เนื่องจากโครงการต้องเป็นความลับสุดยอด
จึงไม่เหมาะกับโครงสร้างองค์กรปกติ
ผู้นำของบริษัทเชื่อว่าการบริหารที่รอบคอบ
และการควบคุมการผลิตอย่างดีเยี่ยม
อาจทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการทั้งหมดได้
บางคนมีความคิดเห็นว่า Lockheed บริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ
แต่บางคนอาจโต้แย้งว่าภายใต้ความต้องการที่แตกต่าง
นั้นมันต้องการระบบที่แตกต่างด้วยเช่นกัน
ในช่วงสงครามเวียดนาม สหรัฐฯมีความต้องการยุทธปัจจัยจำนวนมากและเร่งด่วน
เพื่อใช้ในสงคราม ซึ่ง
Supplier ต่างๆ
จำเป็นต้องตั้งโครงการเหล่านั้นเป็นโครงการเร่งด่วน
โดยตั้งทีมงานพิเศษเพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วนโดยเฉพาะที่ชื่อว่า QRCs : Quick Reaction Capability Program
ซึ่งหลายๆ บริษัทด้านการบินก็จะตั้งองค์กรเป็น 2 ลักษณะคือโปรแกรมมาตรฐาน และโปรแกรมเร่งด่วน
QRC ไม่เพียงแต่ supplier
เท่านั้น สำหรับกองทัพเอง
ก็จะจัดตั้งหน่วยงานพิเศษสำหรับโครงการที่เร่งด่วนด้วยเช่นเดียวกับ Supplier ภายใต้ชื่อ Special Program
Offices หรือ SPOs
ซึ่งการทำงานนั้นจะตัดขั้นตอนที่ยุ่งยากชักช้าของระบบราชการลงไป
ทำให้สามารถลดเวลา จากโครงการที่ใช้เวลาปกติในการดำเนินการจาก
5-7 ปี เหลือ 90 ถึง
120 วัน
ถึงวันนี้น่าจะสรุปได้ว่าโครงสร้างองค์กรที่เป็นมาตรฐานที่ใช้สำหรับทุกๆ
โครงการไม่ว่าจะเป็นโครงการที่เร่งด่วน หรือโครงการธรรมดานั้น
เป็นความผิดพลาดที่ถูกนั้น ควรจะเป็นโครงสร้างองค์กรแบบผสม
คือใช้องค์กรมาตรฐานสำหรับโครงการทั่วไป
และใช้หน่วยงานพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการเร่งด่วนเท่านั้น
โดยทั่วไปนั้นการจัดองค์กรที่มักจะผิดพลาดบ่อยๆ
คือที่พยายามจะใช้การจัดองค์กรแบบเดิมๆ
ที่ตนเองมีอยู่จัดการกับโครงการทุกรูปแบบ
หากนานครั้งที่องค์กรจะต้องตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจสำหรับโครงการพิเศษนั้น
อาจทำให้เกิดความสับสนในหน่วยงานพิเศษที่ตั้งขึ้น
ซึ่งผู้บริหารที่เป็นผู้นำที่จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจนี้จะต้องมีการบริหารการจัดการทีมงานเฉพาะกิจที่ดี
ซึ่งยังดีกว่าการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงโดยการใช้โครงสร้างองค์กรมาตรฐานสำหรับโครงการทุกรูปแบบ
เพราะท้ายที่สุดหากไม่ยอมปรับเปลี่ยนเองก็จะอยู่ไม่รอด
แต่หากรอให้สภาพแวดล้อมเป็นผู้กำหนดให้ต้องเปลี่ยนแปลงก็อาจจะช้าเกินไป
หากต้องการประเมินความกระหายในการเปลี่ยนแปลงในองค์กรของคุณให้ถามตัวคุณด้วย 7
คำถามต่อไปนี้ |
1. |
ผลิตภัณฑ์
บริการหรือคุณค่าที่ส่งมอบให้ลูกค้านั้นมีการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
และพยายามที่จะตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหรือไม่ |
2. |
องค์กรมีการทดสอบความคิดใหม่ๆ
หรือมีทีมงานเฉพาะในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือไม่
มีการจัดโครงการข้อเสนอแนะจากพนักงานหรือไม่ |
3. |
พนักงานได้ถูกกระตุ้นให้หาทางที่ดีกว่าในการทำงานของเขาหรือไม่ |
4. |
พนักงานในทุกระดับได้รับอนุญาตให้ซักถามหรือยอมรับในสิ่งที่ทำหรือไม่ |
5. |
ระบบงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ถูกตัดทอนให้กระชับหรือไม่ |
6. |
ผู้บริหารที่เป็นผู้นำในองค์กร
เต็มใจที่จะยอมรับความผิดพลาดในโครงการที่คาดว่าจะไม่สำเร็จ
และล้มเลิกก่อนที่จะเสียหายมากขึ้นหรือไม่ |
7. |
ผู้บริหารได้ประชาสัมพันธ์ในการเริ่มต้น
ยอมรับความเปลี่ยนแปลงหรือไม่
และความคิดในการปรับเปลี่ยนองค์กรหรือคงไว้ซึ่งองค์กรเดิมหรือไม่
|
|
|
|
|