Facing
The Challenge
ปัญหาใหญ่ๆ
ทั้งหลายในโลกจะสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่ยังเป็นปัญหาเล็ก
: LAO-TZU
อัตราความสำเร็จในบริษัทที่ทะเยอทะยานมักจะทำงานคล้ายๆ
การลดน้ำหนักคือ เปลี่ยนนิสัยตนเองไปจากที่เป็นคล้ายการลดน้ำหนัก
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็ยากที่จะเอาชนะนิสัยส่วนตัวที่เคยเป็นได้
ทุกๆ 2 3
ปี ขององค์กรขนาดใหญ่
ผู้จัดการจะมีโครงการอะไรบางอย่างไม่ว่าจะเป็นการตั้งความหวังที่จะดูแลเอาใจใส่กับคุณภาพอย่างจริงจัง
หรือความต้องการที่จะเพิ่ม Customer Focus
หรือการรณรงค์ในการลดต้นทุนหรืออาจเป็นการทำ
Re-Engineering
องค์กรทั้งหมด และกำหนดให้เริ่มทำตามโปรแกรมที่วางไว้
องค์กรมักจะตั้งกลุ่มที่ทำงานเฉพาะอาจมีที่ปรึกษา
เริ่มการประชุม
พิมพ์โปสเตอร์และคิดวิธีการที่จะกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวให้
CEO ออกโทรทัศน์วงจรปิดของบริษัท
หรือกิจกรรมอื่นๆ เพื่อให้รู้สึกว่าเราเริ่มต้นทำอย่างจริงจัง
หากดูไปแล้วก็คงจะไม่แตกต่างอะไรไปจากการลดอาหาร
ซึ่งจะกระตือรือร้นในช่วงแรก
และเมื่อเวลาผ่านไปก็จะพบว่านิสัยที่แท้จริงนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
เพราะหลังจากช่วงเวลาของความกระตือรือร้นได้ผ่านไป
ความรู้สึกเหนื่อยล้า เฉยเมย และเหนื่อยหน่ายจะเข้ามาแทนที่
โปรแกรมที่วางไว้ก็จะเริ่มจางลง เสมือนการเลิกลดอาหารในท้ายที่สุด
ปัจจัยของความล้มเหลว :
ทำไมโครงการที่ต้องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลาย ๆ
โครงการจึงล้มเหลว
ปัจจัยของความล้มเหลวมักจะเกิดขึ้นกับการที่เราพยายามเปลี่ยนแปลงสารถสำคัญที่คิดว่าได้ทำการศึกษาเป็นอย่างดีแล้ว
ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวาง
ทำไมจะต้องทำผิดพลาดเช่นที่ทุกคนเคยทำมาแล้ว
ซึ่งปัจจัยของความล้มเหลวประกอบด้วย
1. |
ความไม่เอาใจใส่ของผู้บริหาร
โดยการปล่อยให้พนักงานในระดับล่างทำ
โดยไม่ได้สนับสนุนใดๆ
อย่างเป็นสาระสำคัญซึ่งจะทำให้โครงการนั้นล่องลอยไปตามยถากรรม
และเลือนลางไปโดยปราศจากความเอาใจใส่ |
2. |
ความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้บริหาร
นั่นคือผู้บริหารบางคนเฉยเมย
บางคนต่อต้านทำให้พนักงานสับสน |
3. |
การตัดสินใจเลือกคนผิดมาร่วมในคณะทำงาน
การเลือกคนไม่มีความสามารถทางการแข่งขัน
คนที่ไม่มีเครดิต คนที่มีจุดประสงค์แอบแฝง |
4. |
การบริหารที่เป็นระเบียบแบบแผน
ซึ่งอาจมีคณะกรรมการทำงาน คณะกรรมการตรวจสอบ
คณะกรรมการติดตามผลซึ่งเป็นการเข้มงวดเรื่อง
การวัดผลมาก แต่ไม่เคยให้พนักงานระดับล่างมีส่วนร่วม |
5. |
ผู้บริหารระดับกลางต่อต้านผู้บริหารระดับสูง
โดยมีความรู้สึกว่าเป็นการสั่งการแบบแสงสว่าง
หรือบางที่การออกในลักษณะการต่อต้านสำนักงานใหญ่ของสาขาย่อยที่บริหารโดยผู้บริหารระดับกลาง |
6. |
หัวหน้าของฝ่ายที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนั้นๆ
ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว
ซึ่งกลุ่มของเขาใหญ่พอที่จะทำให้โครงการดังกล่าวยกเลิกไป |
7. |
แต่ละกลุ่มต่างใช้วิธีการ
แนวทาง หรือที่ปรึกษาต่างกัน |
8. |
พยายามใช้สื่อในการกระตุ้นที่ไม่เกิดความหมาย เช่น
การอบรม การรณรงค์โฆษณา
และพยายามสบตาพนักงานว่าบางสิ่งบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว |
9. |
ไม่มีการผลักดันอย่างต่อเนื่อง
และเพียงพอ เข้าลักษณะของไฟไหม้ฟาง |
10 |
มีการสื่อสารบางอย่างที่ส่อให้เห็นว่าเป็นอุปสรรคในโครงการ
เช่น
ผลจากการลดต้นทุนอย่างมากมายของโครงการหรือการปลดพนักงานส่วนที่เดินออก
ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อโครงการ |
11. |
ผู้บริหารบางคนไม่เคยมองหรือคาดหวังที่ดีจากผลลัพธ์ของโครงการการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ |
จากประสบการณ์หลายปีโครงการที่ต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า
2 สิ่งที่สำคัญ
ยิ่งที่ผู้นำในโครงการดังกล่าวจะต้องมีคือ
ความรู้สึกถึงการที่ไม่ภูมิใจในตัวเองจนเกินไปนัก
และความฉลาดในเรื่องความคิดที่จะหาวิธีที่เหมาะสมให้บรรลุเป้าหมายภายใต้วัฒนธรรมองค์กรนั้นๆ
การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างนั้นเกิดขึ้นและสำเร็จได้ภายใต้ทรัพยากรบุคคลที่จะผลักดันให้สำเร็จ
กราฟรูปตัว
S :
การมโนภาพในการเผชิญความจริง
การวาดฝันเกินจริงจะทำให้ความทะเยอทะยาน
ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงลดน้อยลงไป
หากโครงการมีปัญหาจะทำให้ผู้ผลักดันรู้สึกตกใจในความแตกต่างระหว่างแผนการกับผลลัพธ์ที่ได้
การคาดหวังที่เลือนลางเกิดขึ้นเนื่องจากการมองโลกในแง่ดีเกินไปจนเกิดการเล็งผลเลิศ
หากเกิดปัญหาไม่เป็นตามที่คาดก็จะหมดหวัง
และความรู้สึกหมดหวังที่นี้เองที่เป็นสัญญาณบอกจุดจบของโครงการ
ภายหลังจากการประเมินผลและเห็นว่าห่างเป้าหมายขององค์กรก็ใช้วิธีลดเป้าหมายลง
จากกราฟแกนตั้งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการวัดผล
เช่น ส่วนแบ่งตลาด อัตราส่วนต้นทุน
จำนวนลูกค้าที่ยกเลิกการสั่งซื้อหรืออาจเป็นปัจจัยอื่นๆ
ผู้บริหารที่มองโลกในแง่ดีเกินไปก็คาดหวังว่า
กราฟที่ได้จะขึ้นในทันใด
เนื่องจากได้ลงทุนไม่ว่าจะเป็นการตั้งกลุ่มทำงาน
การอบรมพนักงาน และการกระทำอื่นๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ดังในเส้นประของกราฟ
แต่แล้วความเป็นจริงผลที่ได้จะไม่ดีขึ้นในทันทีทันใด
แต่กลับแย่ลงในตอนแรก เนื่องจากเราเพิ่งจะตั้งระบบใหม่
ทำให้ระบบต่างๆ ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เช่น
พนักงานต้องเรียนรู้ระบบใหม่
ถ้าเราเปลี่ยนความรับผิดชอบคนก็ยังชินกับพฤติกรรมเดิมจนกว่าคนจะชิน
แต่ถ้าเราเปลี่ยนระบบสารสนเทศก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่มากมายในโครงการใหญ่ๆ
ในช่วงแรกพนักงานอาจต้องใช้เวลาปรับตัว
ดังนั้นจึงไม่ควรเล็งผลเลิศ
แทนที่พนักงานจะรู้สึกชอบอย่างที่ตั้งใจไว้
แต่กลับวิตกกังวล สงสัย
ในขณะเดียวกันผู้ที่คัดค้านโครงการตั้งแต่แรกจะออกมาพูดว่า
เป็นดังที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด
จากกราฟจะเห็นว่าผลที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่เราคาดหวังแตกต่างกันมากที่สุด
ณ จุด VOD Velley of Dispair
ซึ่ง ณ จุดนี้เอง
ผู้บริหารจะรู้สึกว่าสิ่งที่ลงทุนไปไม่ได้อะไรกลับมามีแต่เสียกับเสีย
ดังนั้นจึงตัดสินใจล้มเลิกโครงการแล้วไปเริ่มโครงการอื่นใหม่
ซึ่งก็จะเป็นผลเสียต่อธุรกิจ
แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็จะเริ่มเห็นผลในสิ่งที่ลงทุนไป
จริงๆ แล้ว
เราไม่อาจจะรู้ได้ว่าโครงการที่เราทำอยู่นั้นถึงจุด
VOD หรือยัง
จนกว่าเราจะผ่านจุดดังกล่าวไปแล้ว เพราะ ณ
จุดขณะนั้นเราจะไม่รู้ว่าผลที่ได้จะเริ่มปรากฎในวันใดข้างหน้า
หากผู้บริหารรู้จักที่จะประเมินและคาดหวังผลที่จะได้รับอย่างถูกต้อง
และเข้าใจธรรมชาติของจุด VOD
และอดทนรอผลที่จะได้รับ
ในที่สุดก็จะได้ตามเป้าหมายที่คาดการไว้
การเติบโตของบริษัทแบบวางแผนและแบบที่ไม่ได้วางแผน
การเติบโตอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะโดยธรรมชาติของธุรกิจนั้นๆ
หรือโดยการใช้ความรู้ ความชำนาญในธุรกิจนั้นๆ
จากบริษัทขนาดเล็กไปขนาดใหญ่
แต่ละขั้นตอนในการเจริญเติบโตจะผ่านจุดวิกฤตหรือความผิดพลาดที่อาจจะเจอแตกต่างกันออกไป
การพัฒนาของบริษัทที่สามารถเจริญเติบโตจนเป็นที่รู้จักทั่วไปนั้น
จะมีขั้นตอนที่เป็นที่รู้จักทางสังคม 5
ขั้นตอน
เมื่อบริษัทพัฒนาถึงแต่ละขั้นก็จะพัฒนาต่อไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นต่อไป
ซึ่งในการที่จะกระโดดข้ามแต่ละขั้นเองที่บริษัทนั้น
อาจรู้สึกสูญเสีย และเป็นส่วนที่เครียด
เป็นช่วงเวลาที่สับสนไม่แน่นอน
1.
|
Survivor Group
:
ช่วงนี้เป็นช่วงที่กิจการยังเป็นขนาดเล็ก
ซึ่งผู้ก่อตั้งกิจการต้องทำทุกอย่างเอง
ไม่ว่าความรับผิดชอบ การหาข้อมูล
การตัดสินใจซึ่งจำนวนพนักงานอาจตั้งแต่สอง สาม
หรือสิบคน โดยปกติจะไม่มีโครงสร้างองค์กร
ไม่มีกฎระเบียบมากนัก
ความท้าทายในการดำเนินธุรกิจจะเป็นลักษณะวันต่อวัน
ธุรกิจจะเจอปัญหาด้านทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดเรื่องเงินทุน
และการหางานให้ได้ตามเป้า |
2. |
Family :
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ธุรกิจเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
ต้องใช้เงินทุนและคนมากขึ้น ต้องมีสาธารณูปโภค
และแผนงานที่ดีจำนวนคนอาจมี 20 30
คน
อาจมีคนที่ทำหน้าที่ดูแลด้านการผลิต
ช่วงนี้จะต้องมีโครงสร้างองค์กรในลักษณะที่บอกได้ว่าใครทำหน้าที่ด้านใด
ใครเป็นผู้ตัดสินใจ ปัญหาที่เกิดคือ ต้องทำสิ่งต่างๆ
ให้เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งมักเป็นอุปสรรคกับธุรกิจได้ |
3. |
Village
:
ธุรกิจจะขยายตัวขึ้นกว่าธุรกิจในครอบครัว
อาจมีพนักงานถึง 50
คน
พนักงานอาจมีการถูกแต่งตั้งในตำแหน่งต่างๆ
ปัญหาที่ประสบคือโครงสร้างขององค์กร |
4.
|
City :
ช่วงนี้ธุรกิจอาจมีคนหลายร้อยคนหรืออาจถึงหนึ่งพันคน
มีโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจนมีฝ่ายต่างๆ
มีระดับเงินเดือน ระบบธุรการ
งานบุคคล มีคำบรรยายลักษณะงาน
พนักงานใหม่อาจไม่เคยพบผู้ก่อตั้งบริษัท ขณะเดียวกัน
CEO
ก็ไม่ได้ทำหน้าที่คัดสรรคนเข้าทำงาน
ช่วงนี้จะมีความท้าทายในธุรกิจหลายอย่าง
อาจมีการรวมบริษัทอื่น จุดวิกฤตคือการวางกลยุทธ์ |
5.
|
Metropolis :
บริษัทมีการกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคไปตามเมืองหลวงต่างๆ
เชื่อมต่อข้อมูลด้วยดาวเทียม
กลยุทธ์ที่ใช้อาจกระจายไปตามแต่ละท้องถิ่น
ช่วงนี้อาจต้องหันกลับมาดูวัตถุประสงค์ตั้งต้นของธุรกิจ
ซึ่งธุรกิจอาจไม่ดำเนินในรูปแบบอื่นหรือต่างไปจากวัตถุประสงค์ตั้งต้นของธุรกิจ
เพื่อเสาะแสวงหาโอกาส
บางองค์กรอาจไม่ได้มีคนมากมายเป็นพันๆ
แต่อาจมีเป็นร้อย |
ธุรกิจจะเติบโตไปตามขั้นตอนต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว
ปัญหาทางการเจริญเติบโตทางธุรกิจ เริ่มตั้ง
แต่ตอนที่เราคาดหมายในตัวธุรกิจนั้นๆ
ไม่ใช้ผลหลังจากที่มันเป็นการสร้างระบบที่ชาญฉลาด
พัฒนาผู้นำที่มีความสามารถ สร้างความเป็นสังคมที่แข็งแกร่ง
และการจัดลำดับของการทำธุรกิจทั้งหลายทั้งปวงนี้
ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในอันที่จะให้ธุรกิจเจริญเติบโตอย่างที่เราคาดหวังไว้
ผู้นำองค์กรที่แสวงหาทรัพยากรจากภายนอกบริษัท
ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค
อาจารย์จากมหาวิทยาลัย ผู้แนะนำโค้ช
ซึ่งสามารถให้การสนับสนุนด้านต่างๆ ที่เชี่ยวชาญคือ
คำปรึกษาในด้านที่ปรึกษาการบริหารอาจถือได้ว่าเป็นด้านแรกๆ
ของการให้คำปรึกษา
มี
4
วัตถุประสงค์ด้วยกันในการที่แต่ละบริษัทต้องการที่ปรึกษา
3
วัตถุประสงค์ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากสภาวะแวดล้อม
ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลคือ ด้านปิดศีลธรรม
1.
|
เพื่อสนับสนุนในขณะที่บริษัทไม่มีคนเพียงพอที่จะทำงานนั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นด้านเทคนิควิศวกรรม
ในโครงการก่อสร้างใหญ่ๆ
หรือด้านการอบรมพนักงานและทางกฎหมาย |
2. |
เพื่อเพิ่มทักษะพิเศษ
ความรู้ ความชำนาญ หรืออาจรวมถึงการบริการด้านการเงิน
การวิจัยตลาด |
3. |
ต้องการคำแนะนำแบบมืออาชีพ
ซึ่งเขาอาจต้องการความคิดใหม่ๆ มุมมองที่แตกต่าง
มักใช้ในแง่ของการรวมกลยุทธ์ |
4. |
ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านผิดศีลธรรม
โดยต้องการใช้บริษัทที่ปรึกษาเสมือนประหนึ่งอาวุธในการปกป้องความไม่ซื่อสัตย์ในทางการเมือง |
มีรายงานที่ไม่เป็นที่เปิดเผยว่าบริษัทที่ปรึกษาสามารถที่จะให้คำแนะนำที่ดีจนทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นหลายพันล้านดอลลาร์
ซึ่งทำให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ถูกต้องไม่ว่าจะทางด้านการลงทุน
การจัดการ การจัดทำผังองค์กรใหม่
ซึ่งหากไม่มีที่ปรึกษาก็อาจตัดสินใจผิดได้
บางครั้งกรรมการบริหารบริษัทอาจจ้างที่ปรึกษามาเพื่อตรวจสอบการทำงานของ
CEO
ว่าดำเนินกลยุทธ์ในการบริหารได้ถูกต้องหรือไม่อย่างไร
หรืออาจมีการจ้างที่ปรึกษามาดูรายละเอียดงานที่ทำอยู่ประจำในแง่มุมของการบริหาร
ซึ่งจะดูลึกไปทุกฝ่าย ตรวจดูงานเอกสาร
ตรวจดูการบริหารงานของผู้บริหาร
หลังจากนั้นก็จะมีรายงานจุดบกพร่องต่างๆ ออกมา
จากข้อมูลที่ผ่านมา
แต่ละบริษัทที่ปรึกษาขนาดใหญ่จะมีผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างตายตัว
เช่น ถ้าเราจ้างบริษัทก็จะมีแนวโน้มให้จัดองค์กรใหม่
แต่ถ้าเป็นบริษัท B
ก็อาจให้ดูรายละเอียดเรื่อง กลยุทธ์ใหม่ ถ้าเป็นบริษัท
C
ก็อาจให้ปรับปรุงระบบข้อมูลสารสนเทศเสียใหม่
จากประสบการณ์ของในเรื่องการเป็นที่ปรึกษาพบว่า
ผู้บริหารระดับสูง หรือ CEO
มีแนวโน้มที่จะไม่เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดในการทำงาน
ซึ่งเขาเหล่านั้นมีมุมมองในการทำงานของตนเอง
แต่ทั้งนี้ก็น่าจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะเปิดเผยข้อมูล
และรับฟังข้อเสนอแนะที่มี
ทั้งนี้มันอาจทำให้เขาเหล่านั้นมองอะไรได้รอบคอบขึ้น
เพราะเสมือนมีเลนส์อันอื่นมาช่วยส่องอีกที
ซึ่งก็อาจทำให้เขาตัดสินใจได้ถูกต้องขึ้น
|