Performance
Pressure
ครั้งหนึ่งหลายปีมาแล้ว
Peter Drucker ได้กล่าวกับผู้ฟังซึ่งเป็น
CEO และผู้บริหารระดับสูง
ซึ่งเขาได้เริ่มต้นกล่าวว่า “ผมกำลังจะพูดในหลายสิ่งที่ท่านทั้งหลายทราบกันดีอยู่แล้ว
และเมื่อผมพูดจบ ผมจะถามพวกท่านว่า
ทำไมท่านถึงไม่ทำในสิ่งที่ท่านเองก็ทราบดีอยู่แล้ว”
และอีกตอนหนึ่งซึ่งมีผู้ให้ความสนใจคือ “คุณควรให้ความสนใจเฉพาะส่วนที่สำคัญหรือส่วนที่เสียค่าใช้จ่ายมาก
และไม่ควรเสียเวลากับสิ่งที่คุณไม่ควรทำ”
สำหรับผู้บริหารทั่วไปนั้นจะรู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องยากเสียจริงกับคำพูดง่ายๆ
ของ Peter Drucker “ให้ทำเฉพาะในสิ่งที่ควรทำ”
ซึ่งยากที่จะตัดสินใจได้ว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำ
ซึ่งตรงกับสุภาษิตของชาวญี่ปุ่นว่า “ถ้าคุณพยายามไล่จับกระต่าย
10 ตัว พร้อมๆ กัน
คุณจะจับไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว
Case In Point
Avon
ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องเสริมความงาม
ทำธุรกิจโดยใช้พนักงานขายตรงโดยใช้วิธีเคาะประตู Avon
มีความคิดที่จะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ยา
ซึ่งบริษัทคาดว่าน่าจะเป็นไปได้ดี
ในขณะที่ธุรกิจที่ตนเองถนัดนั้นก็ไปได้ไม่ดีนัก ยอดขายก็ไม่ดี
ซึ่งผู้บริหารก็เริ่มที่จะหันไปหาธุรกิจอื่นจึงตัดสินใจซื้อบริษัทผลิตยาชื่อ
Foster Medical ซึ่งบริหารงานโดย John
Foster ซึ่งภายหลังจากนั้นไม่ถึงปี John
Foster ก็ตัดสินใจแยกทางกับ Avon
โดยหันไปทำธุรกิจส่วนตัวไม่นานหลังจากนั้นธุรกิจยาของ Avon ก็ตกต่ำจนต้องเลิกกิจการ
บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนให้ยานอวกาศและยุทโธปกรณ์
ได้เรียนรู้ประสบการณ์เดียวกันโดยพยายามคำนึงถึงธุรกิจในช่วงที่สงบไม่มีสงคราม
โดยหันมาผลิตใบมีดคันไถ
ซึ่งในการไม่มีความรู้ในเรื่องการกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภค
เนื่องจากเดิมที่เคยติดต่อแต่กับรัฐเท่านั้น
ซึ่งบริษัทลักษณะนี้จะไม่มีจิตสำนึกในเรื่องการลดต้นทุน
การตอบสนองที่รวดเร็ว
การมีสัญชาติญาณทางการแข่งขันหากไม่ใช่ธุรกิจที่ตนเองคุ้นเคย
สำหรับผู้บริหารที่บริหารบริษัทในเครือที่หลากหลายโดยมิได้เป็นเจ้าของมักจะบริหารโดยดูผลรวมของงบดุลโดยรวมและใช้วิธีชดเชยรายได้
ซึ่งการทำแบบนี้จะไม่ได้คุณค่าที่แท้จริงในสิ่งที่เขาต้องการ
ซึ่งการใช้วิธีการควบคุมจากสำนักงานใหญ่โดยวิธีการต่อว่าอย่างรุนแรงหรือลงโทษผู้บริหารบริษัทในเครือที่ไม่มีตัวเลข
(กำไร)
หากว่ากันตามจริงแล้วคงจะไม่ได้ผลซักเท่าไรนัก
ในเรื่องของกลยุทธ์นั้น
เป็นเรื่องที่จะเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ว่าบริษัทเราทำอะไรได้ดี
ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ
เพียงแต่ว่าเราจะต้องรู้ว่าเรามีอะไรและอะไรที่ไม่มีนั้นเรียนรู้ได้หรือไม่
และเราจะได้อะไรจากการทำในธุรกิจใหม่นั้น
บางทีอาจเป็นการีที่จะทบทวนวิสัยทัศน์ พันธกิจ
และกลยุทธ์ของบริษัทใหม่ The Lanterman Regional Center
ใน Los Angeles
ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มากมายภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด
และซึ่งต้องเจอกับความต้องการที่มากขึ้นในการบริการครอบครัวที่มีเด็กพิการ
ดังนั้นผู้บริหารของ The Lanterman Regional
นาย Diane Anand
ได้ตัดสินใจประเมินรายการบริการ
เริ่มต้นที่บริษัทมีกับปัญหาด้านบริการที่ประสบเกี่ยวกับคนพิการ
ตัวแทนที่รับผิดชอบดูแลครอบครัวเด็กพิการ
เพื่อคุยกับพ่อแม่ของเด็กในสิ่งที่เขาต้องการ
ซึ่งพ่อแม่เด็กพิการมีความต้องการประการแรกคือ
การสนับสนุนด้านสาธารณะ เช่น
มีผู้แนะนำที่เชี่ยวชาญและผู้ช่วยเหลือซึ่งไม่ติดกับกฎระเบียบปฏิบัติจนเกินไปนัก
ประการที่สองคือ ปัจจัยที่สำคัญซึ่งเกี่ยวเนื่องกับประการที่หนึ่ง
พ่อแม่ของเด็กต้องการสนับสนุนลึกลงไปกว่าระดับแรกคือ
จัดให้มีการอบรมเกี่ยวกับความพิการที่เกิดขึ้น
และขั้นตอนในการปฏิบัติเพื่อดูแล ประการถัดมาคือ
การคำนึงถึงคุณภาพในการส่งมอบ และการประสานงานกับบริษัท
Mr. Anand
ได้ดูผลลัพธ์จากผลสำรวจและได้ลำดับรายการที่จะต้องทำทั้งการจัดลำดับความสำคัญของแต่ละรายการ
เขารู้สึกอย่างทันทีว่าเขากำลังไล่จับกระต่ายหลายตัว
ดังนั้นจึงควรตัดรายการลำดับที่ 2 และ
3 หรืออื่นๆ
ออกไปแล้วให้ยึดตามแนวพันธกิจที่วางไว้
Sam Walton ผู้ก่อตั้ง
Wal-Mart
ที่ยิ่งใหญ่มักใช้เวลาคุยกับลูกค้าของเขาตามร้านต่างๆ
เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และคุยกับพนักงานของเขาเองเกี่ยวกับบริษัท
และได้พูดให้พนักงานรู้สึกภูมิใจในงานที่เขาทำอยู่
ซึ่งก็เป็นเพียงคำพูดง่ายๆ ดังนี้ “พวกเรารวมกันอยู่ที่นี้เพื่อสร้างคุณค่าให้ลูกค้า
คุณสามารถภูมิใจในสิ่งที่คุณทำอยู่ถ้ามีอะไรที่หัวหน้าของคุณหรือผมควรทำเพื่อช่วยงานคุณให้ดีขึ้น
เราต้องการให้คุณบอกเรา”
การปรากฎกายของ Sam Walton
ต่อหน้าพนักงานทำให้พนักงาน
ทำให้พนักงานนึกถึงคำพูดที่สร้างคุณค่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน เขาก็ยังใช้รถปิกอัพเก่าๆ
และทำงานในสำนักงานที่ทันสมัยขนาดเล็ก
Sam
เชื่อว่าพนักงานจะรู้สึกเฉยเมย เย็นชาน้อยลง ลดความไม่ซื่อสัตย์ลง
และกระตือรือร้นมากขึ้น และพยายามที่จะสร้างคุณค่า
ถ้าระดับบริหารรู้ว่าพนักงานคือใคร
เข้าใจความในความยากลำบากที่จะฝ่าฟันอุปสรรค
และเชื่อมั่นในตัวของพวกเขาซึ่งเป็นการบริหารแบบตะวันตก
ผู้บริหารที่มองลูกค้าเหมือนสิ่งของ
หรือเหมือนสิ่งของที่ซื้อขายกันได้ หรือเหมือนสถิติในทางธุรกิจ
มีแนวในการมองพนักงานเหมือนเงิน
ซึ่งความคิดเช่นนี้เป็นการมองคนไม่ใช่คน
ในทางตรงกันข้ามผู้บริหารที่มองลูกค้าเป็นมนุษย์ก็จะพบที่สนองตอบความต้องการและสร้างคุณค่าให้เขา
ในขณะเดียวกันก็จะสร้างภาวะผู้นำ
และสร้างบรรยากาศในการเห็นคุณค่าให้เขา
ในขณะเดียวกันก็จะสร้างภาวะผู้นำ
และสร้างบรรยากาศในการเห็นคุณค่าของคนในองค์กร
นาย Feargal Quinn
ผู้ก่อตั้ง Superquinn
ซึ่งเป็นธุรกิจขายอาหารใน Dublin
เขาได้ให้ความสนใจลูกค้า
โดยในเวลาปกติคุณจะพบเขาอยู่หลังเคาน์เตอร์ช่วยเสมียนในเรื่องการบรรจุถุง
ช่วยลูกค้าหาวิ่งที่เขาต้องการ
อธิบายการทำไส้กรอกของร้านหรือช่วยเก็บของเข้าชั้น
Quinn พูดไว้ในหนังสือของเขาชื่อ
Crowning the Customer ว่า “ผมใช้เวลาครึ่งหนึ่งที่มีทุกอาทิตย์อยู่ในร้านเพื่อทำงานและพบลูกค้า
ซึ่งผู้บริหารทั่วไปอาจนึกว่าเสียเวลา แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น
และที่ผมชอบมากคือการอยู่หลังเคาน์เตอร์ เพื่อช่วยเรื่องการบรรจุถุง
เพราะเป็นที่ๆ จะได้คุยกับลูกค้าอย่างพักผ่อนสบายๆ
ผู้บริหารบางคนสมัครสมาชิก The Royal Tour Sindrome
ซึ่งนั่นไม่ใช่วิธีที่จะพบลูกค้า
Quinn
กล่าวว่าเขาจะรู้สึกผิดหวังกับบริษัทที่มีนักการเงินเป็นผู้บริหารระดับสูง
เพราะกำลังจะนำบริษัทล้ม
ผู้บริหารที่ไม่รู้คุณค่าของลูกค้าจะไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจ
ซึ่งเขามักจะคิดว่าธุรกิจคือเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ทำงานด้วยเงิน
ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่กำไร
ธุรกิจก็คือการที่คนสร้างคุณค่าให้เกิดแก่บุคคลอื่น
แต่ถ้าคุณเข้าใจเช่นนั้น ธุรกิจของคุณจะประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่ง
นาย Bill Marriott
ประธาน Marriott Corporation
ใช้เวลา 25%
ท่องไปทั่วอเมริกาเหนือและยุโรป
เพื่อไปเยี่ยมพนักงานของโรงแรมไม่ว่าจะเป็นพ่อครัว คนทำความสะอาด
ช่างซ่อมบำรุง และคนทำความสะอาดพื้น และจับมือเขาเหล่านั้น
เขาเชื่อว่าพวกเขาดูแลพนักงาน พนักงานก็ดูแลลูกค้าเช่นกัน
การจับมือกับพนักงานถือเป็นสารที่พลังส่งถึงพนักงาน
โดยเขาเหล่านั้นจะไม่คำนึงถึงคำพูดระหว่างที่จับมือด้วยซ้ำ
Feed Back : The Breakfast of Champion
การรับฟังทัศนคติและความคิดเห็นของพนักงานเป็นอาหารเช้าของแชมป์
ในบริษัทประกันของออสเตรเลียระหว่างที่ประชุมเรื่องการฝึกอบรมอยู่มีพนักงานหญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้นว่า
“ดิฉันอยากรู้ว่ามีผลอย่างไร
และมันมีความสำคัญกับใคร ดิฉันเองก็เปรียบเสมือนเฟืองในเครื่องจักร
แต่ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าเครื่องจักรนี้ทำงานอย่างไร
และไม่รู้ว่างานที่ตัวเองทำมีผลอย่างไร
คำถามของเธอหยุดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและทำให้ต้องทบทวนหัวข้อกันใหม่
ซึ่งผู้เข้าร่วมอื่นๆ ก็เห็นพร้องกับเธอ
และแต่ละคนก็รู้สึกว่าตนเองเปรียบเสมือนฟันเฟืองหนึ่งในเครื่อง
เมื่อความคิดว่าตนเองเสมือนฟันเฟืองหนึ่งในเครื่องจักรกลแพร่หลายไปในองค์กร
ทำให้แม้แต่ผู้บริหารส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนสามัญชนทั่วไป
นั่นคือมีความคิดลักษณะที่ว่าถ้าให้เงินไป
เขาเหล่านั้นก็จะทำผลงานออกมา
ในองค์กรที่มีการแบ่งปันความรู้สึกในการมีส่วนร่วม
ผู้บริหารก็จะทำงานอย่างรู้สึกถึงความมีส่วนร่วมกับพนักงานและจะช่วยให้กิจการนั้นๆ
ประสบความสำเร็จ ไม่เพียงแต่พนักงานควรรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในองค์กร
และรู้ว่างานของเขามีผลต่อองค์กรอย่างไรเท่านั้น
แต่เขาควรรู้สึกว่าการที่มีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถจะนำพาให้องค์กรประสบความสำเร็จ
บางองค์กรเปิดโอกาสให้พนักงานรู้ถึงประวัติของบริษัท
หรือสาธารณะประโยชน์ที่บริษัททำ
หรือแม้กระทั่งประชุมเพื่อให้รู้ถึงผลประกอบการของบริษัท
นอกจากนั้นยังสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นของพนักงาน
ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้างานก็ควรสำรวจทัศนคติ
และความคิดเห็นของพนักงานอย่างเสมอ โดยต้องเปิดใจกว้างรับฟัง
และไม่นำมารวมในการประเมิน
พนักงานสามารถทำงานหนักเพื่อให้บรรลุพันธกิจ ถ้าเขารู้ว่ามันคืออะไร
และผลจากการที่เขาทำงานหนักนั้นบรรลุพันธกิจของบริษัทมากน้อยเพียงใด
แน่นอนว่าพนักงานจะไม่ทุ่มเททำงานหนักถ้าเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจในพันธกิจนั้นๆ
ถ้าปราศจากการสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นของพนักงาน
ผู้จัดการก็เสมือนตัดแขนขาของตนเอง
ซึ่งเขาจะเป็นผู้เดียวที่สนใจผลของพันธกิจนั้นๆ
ความจริงแล้วควรจะสร้างให้เกิดความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ
และความรู้สึกที่จะมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อพันธกิจนั้นๆ
ผู้บริหารที่ขลาด
หลายปีก่อนระหว่างที่ผมรับราชการทหาร
ผมเริ่มมีความรู้สึกว่าคนในองค์กรไม่จำเป็นต้องฉลาดที่สุด
หรือมีความสามารถมากที่สุด
ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงองค์ประกอบพื้นฐาน
แต่ยังต้องรวมถึงความกล้าด้วย ผมประสบคนที่มียศสูงทำในสิ่งที่ขลาด
กรณีศึกษา
Case in Point
เลขาหญิงในหน่วยของผมมีปัญหาความสัมพันธ์ในการทำงานกับ Chief
Warrant Officer (CWO) ในหน่วยงานเดียวกัน
ซึ่งเลขาหญิงมีหน้าที่ในการพิมพ์ดีด
การเก็บข้อมูลเข้าแฟ้มให้กับทุกคนในหน่วยงานรวมถึงพันโทผู้ดูแลสาขา
ซึ่ง CWO
ผู้นี้ค่อนข้างก้าวร้าวและมีปัญหาเรื่องมนุษยสัมพันธ์
ซึ่งเขาต้องการให้เธอทำงานให้เป็นที่พอใจ
และมีงานเยอะมากให้เธอทำจนต้องทำล่วงเวลาซ้ำร้ายยังด่าว่าเธอจนเธอต้องกลับบ้านทั้งน้ำตา
ท้ายที่สุดเธอตัดสินใจรายงานเรื่องดังกล่าวให้พันโทผู้ดูแลสาขาทราบ
แต่เขากลับต่อว่าอย่างรุนแรงที่เธอสร้างปัญหาให้เขา
เขาต่อว่าเธอว่าทำงานต่ำกว่ามาตรฐาน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
และประเมินผลให้เธอต่ำ เขาหวังให้เธอเรียนและจมอยู่กับปัญหาต่อไป
CWO
นั้นรับงานหนักโดยที่นายทหารยศพันโทไม่ต้องการให้เขาหัวเสีย
ท้ายที่สุดเธอตัดสินใจขอย้ายไปหน่วยอื่น
แทนที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาโดยเรียกทั้งสองคนมาคุยเพื่อขจัดความไม่ลงรอยนั้น
พันโทกลับเลือกทางเดินที่ขลาด โดยไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา
ผมเชื่อว่าผู้บริหารที่ขลาดมีอยู่ในทุกองค์กร
บางคนอาจนึกว่าผู้ที่มีตำแหน่งสูงไม่จะเกิดปัญหาดังกล่าว
แต่แท้จริงแล้วอำนาจในตำแหน่งงาน และความขลาดเป็นคนละเรื่องกัน
ความกล้าในการเผชิญปัญหาเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูง
สิ่งหนึ่งที่ปิดกั้นโอกาสของผู้หญิงในองค์กร
เนื่องขาดผู้บริหารชายที่กล้าให้ความยุติธรรม
ผู้บริหารชายมักจะเพิกเฉยเมื่อพนักงานชายรังควานหรือแม้แต่คุกคามทางเพศพนักงานหญิง
ตรงกันข้ามกลับกดดันให้เผชิญหน้าด้วยตนเอง
ซึ่งผู้บริหารนั้นอาจมีหน้าที่การงานสูงแต่ทางศีลธรรมนั้นนับว่าต่ำ
เพราะนอกจากจะไม่สนใจความเดือดร้อนของพนักงานหญิงแล้ว
บางครั้งยังดุด่าต่อว่าในข้อร้องเรียนนั้นๆ
หลายปีก่อนเคยมีกรณีตรงข้ามกับที่กล่าวมาแล้วหรือมักจะเกิดขึ้น
โดยในโรงงานผลิตเบียร์แห่งหนึ่งมีผู้จัดการผู้ชายถูกกล่าวหาจากพนักงานหญิงว่า
เขาพูดตลกในลักษณะคุกคามทางเพศ ซึ่งผู้จัดการคนนั้นถูกไล่ออก
และเขาได้ฟ้องร้องบริษัทว่าเจ้านายเขาไล่ออกโดยไม่สอบสวนข้อเท็จจริง
ผลจากการสอบสวนปรากฎว่าพนักงานหญิงผู้นั้นตลกหัวเราะกับคำพูดนั้น
แต่ภายหลังได้กล่าวหาเขาเพื่อปรักปรำ
ซึ่งลักษณะนี้ก็ถือเป็นความขลาดของหัวหน้าที่ไม่กล้าสอบสวนข้อเท็จจริง
ผู้บริหารที่กล้าจะไม่ใช้ยศหรือตำแหน่งหรืออำนาจในการที่จะตัดสินใจอะไรแบบง่ายๆ
ตรงกันข้ามกลับใช้ความกล้าและการตัดสินใจส่วนบุคคลเพื่อแก้ปัญหา
ดัชนีวัดแรงกดดันจากพฤติกรรม
การประเมินแรงกดดันจากพฤติกรรมในองค์กรของคุณ
โดยการตั้งคำถามตัวคุณเองดังนี้ |
1. |
พนักงานในทุกระดับเข้าใจโดยกระจ่างหรือไม่
ในหน้าที่และความรับผิดชอบของเขา และความคาดหวังที่เรามีต่อเขา |
2. |
ผู้บริหารระดับสูง ระดับผู้จัดการ
ระดับผู้ควบคุมได้สื่อสารถึงผลการปฏิบัติว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่
อย่างต่อเนื่องหรือเปล่า |
3. |
ผู้บริหารระดับผู้ควบคุมงานได้สนใจแก้ปัญหา
การที่พนักงานที่มีผลงานต่ำ
ทำลายขวัญและกำลังใจของพนักงานที่มีผลงานดีหรือไม่ |
4. |
ผู้บริหารในระดับสูงและในระดับกลางได้เลือกสรรผู้บริหารที่มีความสามารถในทุกตำแหน่งที่ต้องใช้ความเป็นผู้นำหรือไม่ |
5. |
พนักงานได้ถูกบอกกล่าวให้ทราบถึงผลการปฏิบัติงานของตนหรือไม่ |
6. |
พนักงานรู้สึกหรือไม่ว่างานที่เขาทำเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย |
7. |
พนักงานมีความเชื่อหรือไม่ว่าผลตอบแทนต่างๆ
ที่เขาได้รับยุติธรรมกับผลการปฏิบัติงานของเขา |
|