15/01/2550 08:44 น. |
เรียนท่านผู้รู้ครับ<br> ผมมีปัญหาว่า มอเตอร์แรงแตก และ Fin ตรง Rotor มีการบิดงอ<br>ซื่งเมื่อนำไปส่งซ่อม ดูจากรายงานต่างๆในการซ่อมพบว่าค่าทุกอย่างเป็นปกติ เช่น Winding Test , dynamic balance อื่นๆ<br> แต่เมื่อนำมอเตอร์มาติดตั้งใช้งาน ตอน Test No-Load ก็เป็นปกติทุกอย่าง ทั้งกระแส และ vibration Motor เอง แต่เมื่อต่อโหลดเข้าไป โดยLoad เป็น Centrifugal Pump ปรากฎว่ากระแสมอเตอร์กลับวิ่งขึ้นสูงมากเกือบเป็น Full Load Motor และมีบางช่วงที่กระแส Peak ขึ้นสูงกว่า Full load <br> Check Pump ดูก็ไม่พบปัญหาอะไร ให้โรงซ่อมมอเตอร์มาดูหน้างาน ก็บอกมอเตอร์ไม่มีปัญอะไร<br> ลองtest run no-load มอเตอร์อีก 1 ตัวที่มี Condition เหมือนกันทุกอย่างเพื่อดูว่ากระแส no-load จะเท่ากับตัวที่ซ่อมมาหรือไม่ ก็ปรากฏว่าเท่ากันทุกประการ<br> คำถาม คือ <br>1. ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก UNBALANCE ใน Rotor ได้ไหมครับ แต่ผล DYNAMIC BALANCE ก็ปกติทุกประการ ถ้ามองประเด็นว่ามาจากมอเตอร์ที่ทำให้กระแสสูงนั้นมาจากอะไรได้บ้างครับ กรณีนี้<br>2. ผมไม่ต่อยเห็นด้วยในกรณีที่ว่า ลอง Run No-load motor อีกตัวเพื่อเปรียบกระแส no-load กันเพราะผมคิดว่ามอเตอร์มี Condition ใช้งานแตกต่างกัน ดังนั้นจึงอยากเรียนถามท่านผู้รู้ว่า ปกติถ้ามอเตอร์ชนิดเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน ถ้า Test run no-load แล้วกระแสควรเท่ากัน หรือต่างกันอย่างมีนัยสำคัญเท่าไหร่ |
15/01/2550 18:10 น. |
ขอให้ความคิดเห็นอย่างนี้ครับ<br>1. การเกิด Unbance ในส่วนของน้ำหนักที่โรเตอร์ จะไม่ส่งผลต่อค่ากระแสของมอเตอร์มากจนสังเกตุเห็นได้ แต่จะส่งผลอย่างมากต่อค่าความสั่นสะเทือนของมอเตอร์โดยเฉพาะด้าน H<br> แต่ถ้าเป็นการเกิด Unbalance ของแรงดันที่จ่ายให้กับมอเตอร์ จนส่งผลให้เกิดความแตกต่างของกระแส จะส่งผลโดยตรงต่อแรงบิดที่มอเตอร์ผลิตได้ นั่นจะหมายความว่ามอเตอร์ต้องใช้ค่ากระแสมากขึ้นที่จะต้องผลิตแรงบิดเพื่อขับโหลดให้หมุนเท่าเดิม<br><br>2. โดยปกติการพิจารณา กระแสของมอเตอร์ในขณะวิ่งตัวเปล่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการพิจารณาคุณสมบัติของมอเตอร์ว่าอยู่ในสภาวะที่ปกติหรือไม่ เพราะมอเตอร์ที่เป็นรุ่นเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน และขนาดเท่ากัน ควรที่มีค่ากระแส NoLoad ที่ใกล้เคียงกัน<br><br>แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ต่างยี่ห้อกัน มีโอกาส อย่างมากที่ค่ากระแสจะต่างกัน ถึงแม้ว่า ขนาดของมอเตอร์จะเท่ากัน เพราะสิ่งหนึ่งที่ผู้ผลิตมักจะออกแบบแตกต่างกันออกไป ก็คือ ความเร็วพิกัดของมอเตอร์ ซึ่งถ้ามอเตอร์ที่มีความเร็วพิกัดที่ต่ำกว่าจะมีค่ากระแสพิกัดที่สูงกว่า เนื่องจากออกแบบให้ทำให้ทำงานที่แรงม้าพิกัดโดยให้แรงบิดขับโหลดมากกว่า ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังค่ากระแส Noloadที่สูงขึ้นตามไปด้วย<br><br>จากปัญหาที่เกิดขึ้นแนะนำว่า<br>1. ให้ทดลองตรวจสอบเรื่อง บาร์โรเตอร์ ว่าขาดหรือแครก หรือไม่ เพราะถ้าบาร์โรเตอร์แครก มักจะไม่ส่งผลอะไรให้เห็นในขณะมอเตอร์วิ่งขณะไม่ได้ขับโหลด แต่จะส่งผลในขณะขับโหลดโดยเฉพาะขณะทีมอเตอร์ขับโหลดเต็มที่และมีความร้อนเกิดขึ้น<br>2. การตรวจสอบว่ากระแสของมอเตอร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ปัมท์ คงจะพิจารณาไม่ง่าย นอกเสียจากมีมอเตอร์ขนาดเดียวกันแล้วนำมาเปลี่ยนแทนและแสดงค่าของกระแสที่ต่างกัน บ่อยครั้งที่ต้องใช้วิธีหาข้อสรุปเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้มอเตอร์กระแสสูงต้องใช้วิธีสลับมอเตอร์ดูเพื่อใช้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพของปัมท์ว่ามีอะไรผิดปกติ หรือประสิทธิภาพลดลงไปหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ลองสลับดู<br> |
15/01/2550 20:12 น. |
ถ้าเราใช้ เพาเวอร์ มิเตอร์ วัดค่า เพาเวอร์อินพุทละ |
15/01/2550 21:46 น. |
คำตอบที่ 2 ช่วยขยายความด้วยครับ |
17/01/2550 08:15 น. |
ปัญหาเดิมนะครับ ; เสนอสลับมอเตอร์แล้วไม่อนุมัติจากผู้บริหาร ผมเลยลองทดลอง RUN NOLOAD 5 ชั่วโมงแล้วบันทึกค่ากระแส และ อุณหภูมิที่ BEARING และที่ Frame Motor เป็นระยะทุก 30 นาที ผลปรากฏว่า กระแส No-load ค่อนข้างคงที่ อุณหภูมิขดลวดไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ที่น่าตกใจคือ อุณหภูมิแบริ่งด้าน DE กับสูงจนถึง 85 องศา C แค่ Run No-Load นะครับแต่ปัญหาด้านเสียงดังไม่มี <br> สุดท้ายแล้วผมให้โรงซ่อมมอเตอร์ Recheck มอเตอร์ใหม่ แต่ยังสงสัยครับ เมื่อลอง Take Load ตามข้อมูลเดิม ทำไมกระแสสูงได้ถึง Full Load ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ที่จะซ่อม กระแสจะอยู่สูงสุดใช้งานที่ประมาณ 75% <br> ผมยังไม่ค่อยจะเชื่อว่าการที่อุณหภูมิ No-load bearing สูง แต่เราดูองค์ประกอบอื่นๆเช่นเสียงเสียดสีไม่มี และ กระแส No-load ค่อนข้างคงที่ ถ้าเกิดเปิดมอเตอร์ออกดูไม่พบปัญหาการเสียดสี แล้ว Rotor Bar ไม่ Crack จะสรุปว่าอย่างไรดีในเรื่องกระแสสูง มีองค์ประกอบอื่นๆไหมครับ อ้อ มอเตอร์ตัวนี้เป็น EX.MOTOR ครับ |
17/01/2550 08:57 น. |
ขอแสดงความคิดเห็นดังนี้ครับ<br><br>1.ไม่ทราบว่ามอเตอร์ไปพันขดลวดมาใหม่หรือไม่.....ถ้ามีการพันใหม่ทางผู้ทำ อาจใช้ลวดทองแดงที่มีขนาดเล็กกว่าของเดิม จะส่งผลให้ กำลังของมอเตอร์ลดลงครับ เมื่อไปครับ load จะทำให้กระแสสูงกว่าปกติ ถ้า run no load กระแสจะดูเป็นปกติครับ<br>2. ตอนนี้ขอแนะนำ ให้วัดค่า power ของ motor ขณะ run load เพื่อจะได้ดูผลและประสิทธิ ของมอเตอร์ครับ (ตามคำตอบที่2 ) |
17/01/2550 13:32 น. |
ขอให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมดังนี้ครับ<br>1. การสลับมอเตอร์เป็นการทดสอบโหลดว่าปกติหรือไม่ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย และดีที่สุดที่ใช้ในการวิเคราะห์สาเหตุ<br>2. อาการที่กล่าวมา คือเรื่องของความร้อนที่แบริ่ง อาจจะมีสาเหตุมาจากโรเตอร์บาร์แครกด้วย หรือไม่ใช่ก็ได้ ซึ่งจะต้องพิจารณาทั้งสองกรณี<br>3. โรเตอร์บาร์แครก สามารถตรวจสอบได้ ทั้ง ที่โรงซ่อม และที่หน้างาน โดยที่หน้างานจะใช้เครื่องวัดสเปคตรัมที่ตรวจจับกระแส มาตรวจจับกระแสที่ไหลเข้ามอเตอร์ และมอเตอร์ต้องขับโหลดอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ <br> ส่วนการตรวจสอบที่โรงซ่อมก็มีอยู่ด้วยกัน 2-3 วิธี ซึ่งโรงซ่อมน่าจะรู้ดี การตรวจด้วยสายตาไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ อย่างไรแล้วคงต้องให้โรงซ่อมตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้น<br>3. การพิจารณาเปรียบเทียบเรื่องของกระแส คงต้องไม่ลืมแรงดันที่ป้อนให้กับมอเตอร์ด้วย เพราะกระแสจะแปรเปลี่ยนตามแรงดันเนื่องจากการขับโหลด ฉะนั้นการเปรียบเทียบต้องใช้แรงดันที่เท่ากัน<br><br>สำหรับคำตอบที่ 5 ผมมีความคิดเห็นที่แตกต่างและสอบถามเพิ่มเติมนิดนึงครับ<br>1. ตามความเข้าใจของผมเองนะครับ สิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดแรงบิดของมอเตอร์จะเป็น จำนวนรอบที่ใช้พัน และขนาดของแกนเหล็กเป็นหลักสำคัญ ขนาดของลวดที่ใช้พันจะเป็นตัวกำหนด copper Loss หรือความร้อนที่เกิดขึ้นในขณะทำงานของมอเตอร์ ซึ่งจะหมายความว่า ถ้าเราพันมอเตอร์โดยใช้จำนวนรอบเท่าเดิม แต่ใช้ขนาดลวดที่เล็กลง มอเตอร์จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านอุณหภูมิที่สูงเพิ่มขึ้น มากกว่าแรงบิดที่ลดลง ( เนื่องจากค่าความต้านทานของขดลวด ) ในกรณีที่เป็นมอเตอร์ขนาดใหญ่ <br><br>แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ขนาดเล็กการลดขนาดลวด จะส่งผลทั้งแรงบิดและความร้อนที่เกิดขึ้นอย่างมาก<br><br>การที่มีความร้อนเพิ่มขึ้นจะทำให้เราไม่สามารถใช้งานมอเตอร์ได้ถึงพิกัดกำลัง เพราะความร้อนจะสูงกว่าคลาสของฉนวน ทำให้เราต้องลดโหลดลง จึงทำให้เรามักจะพูดว่ากำลังของมอเตอร์ลดลง<br><br>สรุปว่า ถ้ามอเตอร์ในกระทู้เป็นมอเตอร์ขนาดใหญ่ และถูกพันด้วยลวดที่เล็กลงเล็กน้อย แต่จำนวนรอบเท่าเดิม กระแสของมอเตอร์จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก แต่มอเตอร์ จะมีอุณหภูมิใช้งานสูงขึ้นเนื่องจากการใช้งาน ( Temp Rise ) สูงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม<br><br> 2. ผมมีข้อสงสัยอยากสอบถามเป็นความรู้ เกี่ยวกับการวัด เพาว์เวอร์อินพุท ว่าสามารถสรุปได้อย่างไรว่ามอเตอร์ผิดปกติหรือไม่ เพราะว่าแน่นอน ถ้ากระแสมอเตอร์มีค่าสูงเพิ่มขึ้น เพาว์เวอร์ที่จ่ายให้กับมอเตอร์ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยครับ และการที่มอเตอร์มีค่ากระสูงเพิ่มขึ้นก็มีอยู่ด้วยกัน 2 ปัจจัย คือ มอเตอร์ผิดปกติ หรือ โหลดผิดปกติ<br> <br> |
18/01/2550 21:20 น. |
ในกรณีถ้ามอเตอร์ปกติถ้าเราสามารถปรับโหลดเอาท์พุทของมอเตอร์ให้กระแสมอเตอร์เต็มพิกัดแล้ววัดกิโลวัตต์อินพุทของมอเตอร์แล้วใช้สูตร<br> KWเอาท์พุทของมอเตอร์ = KWอินพุทที่วัดได้ * ประสิทธ์ภาพ<br><br>ถ้ามอเตอร์มีปัญหา ถ้าเราปรับโหลดของมอเตอร์จนกระแสเต็มพิกัดแล้ววัดกิโลวัตต์อินพุทมอเตอร์ถ้า กิโลวัตต์ที่วัดได้ต่ำกว่ากิโลวัตต์ที่เนมเพลทมอเตอร์แสดงว่ามอเตอร์มีปัญหา(ตามกฎเรื่องพลังงาน ที่ว่าพลังงานไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้หรือทำลายให้หายไปได้แต่สามารถเปลี่ยนรูปได้ ) เช่นถ้ามอเตอร์400 กิโลวัตต์ปรับ โหลดจนกระแสเต็มพิกัดแล้ววัดกิโลวัตต์ สมมุติปกติและมอเตอร์มีประสิทธิภาพ80เปอร์เซ็นต์ มอเตอร์จะมีอินพุทประมาณ 400/0.8 =500กิโลวัตต์ <br> แต่ว่าการใช้เพาว์เวอร์มิเตอร์วัด จะต้องแน่ใจว่ามอเตอร์ไม่มีการสูญเสียพวกCore loss Copper loss การสูญเสียทางกลเช่นการแรงลม การเสียดสี สูงมากเกินไป อาจจะทดสอบโดยการเดินตัวเปล่าก่อนดูค่าไม่ควรเกิน5เปอร์เซ็นของพิกัดมอเตอร์<br><br><br>นี้เป็นการใช้ประการณ์อันน้อยนิดของผม อาจจะมีมั่วๆบางยังงั้ยช่วยวิจารณ์ด้วย |
18/01/2550 22:00 น. |
ผมขอให้ความคิดเห็นต่อคำตอบที่ 7 นะครับ<br><br>การที่เราสามารถปรับโหลดได้ และให้มอเตอร์กินกระแสเท่าพิกัด จะเป็นการที่เราทำให้มอเตอร์ทำงานที่อินพุทพิกัด เพราะเพาว์เวอร์อินพุท จะมีค่าเท่ากับ กระแสพิกัด คูณ แรงดันพิกัด (ค่าทั้งสองที่อยู่ในเนมเพลท ) คูณ เพาว์เวอร์แฟกเตอร์ณ.สภาวะค่าโหลดนั้นๆ(ในที่นี้คือ เพาว์เวอร์แฟกเตอร์ที่พิกัด )<br><br>ในสภาวะที่มอเตอร์ปกติ การที่เราจ่ายอินพุทพิกัดให้กับมอเตอร์ เราจะได้ เอาว์พุทพิกัด ซึ่งจะอยู่ในรูปของพลังงานกล ฉะนั้นหากเราต้องการที่จะหาค่าประสิทธิภาพของมอเตอร์เราต้องสามารถกำหนดค่าโหลดได้ และวัดค่าอินพุท แล้วนำมาแทนค่าในสูตรดังกล่าว หรือในอีกแนวทางหนึ่งคือ ถ้าโหลดของเราปกติ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงค่าอินพุท นั่นก็หมายความว่า ประสิทธิภาพของมอเตอร์เปลี่ยนแปลงลดลง ซึ่งเป็นนัยยะว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่มอเตอร์ หรือมีความเสียหายเกิดขึ้น<br><br>ในกระทู้คำถามไม่ได้มีอะไรยืนยันว่า โหลดมีค่าปกติ จึงเป็นปริศนาว่า สาเหตุที่ทำให้มอเตอร์เกิดกระแสสูง เกิดจากความผิดปกติของมอเตอร์เอง หรือ มอเตอร์ทำงานขับโหลดมากขึ้น<br><br>นี่เป็นความเข้าใจของผมเอง และเป็นที่มาของคำถามว่าการวัดอินพุทช่วยการวิเคราะห็ความเสียหายมอเตอร์ได้อย่างไร ถ้าเรายังไม่แน่ใจว่าโหลดของเราปกติ หรือโหลดไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม <br><br>ฉะนั้นผิดถูกอย่างไรช่วยวิจารณ์ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ<br> |
19/01/2550 20:34 น. |
load test <br>ตอนนี้ผมมีความคิดที่จะทำโหลดเทสใช้เอง โดยใช้มอเตอร์ที่ต้องการเทสโหลด มาต่อคัปลิงเข้ากับเจนเนเรเตอร์ เอซี แล้วใช้พวกฮีตเตอร์ เป็นโหลด <br><br>เอาท์พุทที่เจนจ่ายออกมา บวก การสูญเสียต่างๆในเจน บวก กำลังงานที่ใช้ในการ เอ็กไซติ้ง บวกการสูญเสียในการคัปลิง เราก็จะได้ เอาท์พุทที่ออกมาจากมอเตอร์<br><br>แนวคิดนี้พอจะเป็นไปได้ปล่าวครับหรือมี<br>มีอะไรผิดพลาดช่วยแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ<br><br> |
19/01/2550 20:54 น. |
ขอข้อมูลเพิ่มเติมครับ เพื่อเป็นข้อมูลในการให้ความคิดเห็น<br>1. คำว่า No Load Test หมายถึงมอเตอร์คับปิ้งอยู่กับโหลด หรือมอเตอร์รันตัวเปล่าอย่างเดียว<br>2. อุณหภูมิของตัวปัมท์คอมเพรสเซอร์ และอุณหภูมิรอบข้างของแบริ่งด้าน DE เป็นเท่าไหร่ ในขณะที่แบริ่งของมอเตอร์ร้อนถึง 80 องศา<br>3. วิธีทดสอบ โรเตอร์บาร์แครกของโรงซ่อม ทำอย่างไร<br>4. ประวัติของมอเตอร์และปัมท์ก่อนที่จะเกิดปัญหา เช่น ได้มีการซ่อม หรือทำอะไรไปบ้าง |
20/01/2550 20:22 น. |
ขอให้ความคิดเห็นต่อคำตอบที่ 10 นะครับ<br><br>จากหลักการทำงานที่แจ้งมา น่าจะใช้ได้ในเชิงเปรียบเทียบกับ มอเตอร์ที่มีขนาดเท่ากัน และ สเปคเดียวกัน โดยมีเงื่อนไขว่าตัวหนึ่งตัวใดต้องเป็นมอเตอร์ที่ปกติ(มาสเตอร์ ) และต้องการที่จะทราบว่าตัวที่ต้องการทดสอบว่า มีคุณสมบัติแตกต่างไปจากมอเตอร์ตัวที่เป็น มาสเตอร์ มากน้อยเพียงใด คงไม่สามารถที่จะบอกค่าออกมาเป็น กิโลวัตต์คงเหลือของมอเตอร์ได้ |
24/01/2550 15:46 น. |
ข้อมูลเพิ่มเติมครับ <br>1. คำว่า No Load Test หมายถึงมอเตอร์รันตัวเปล่าอย่างเดียว ครับ<br>2. อุณหภูมิของตัวปัมท์ขณะRUN กับ Motor ไม่ได้วัด เนื่องจากเพียงแค่ Run No-load (เดิน มอเตอร์ตัวเปล่า) temp bearing ขึ้นสูง และขณะต่อกับ PUMP run แล้วกระแสสูงจึงหยุด Run และปลด Coupling ออก Run no-load<br>และอุณหภูมิรอบข้างของแบริ่งด้าน DE ประมาณ 33-35 ในขณะที่แบริ่งของมอเตอร์ร้อนถึง 80 องศา <br>3. วิธีทดสอบ โรเตอร์บาร์แครกของโรงซ่อม เข้าใจว่าคงจ่ายไฟเข้า STATOR และหมุน ROTOR ตรวจสอบความต้านทานของ ROTOR ที่เปลี่ยนไป ...ไม่แน่ใจครับรบกวนถ้าเป็นไปได้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ<br>4. ประวัติของมอเตอร์ก่อนที่จะเกิดปัญหา <br>เท่าที่ค้นได้ไม่มีครับ runๆอยู่แล้วพบว่ากระแสสูงกว่าปกติจึงหยุดเพื่อตรวจสอบมอเตอร์ พบว่า Bearing ชำรุด และ แหวนกันรุนขาด จึงส่งมอเตอร์ไปซ่อม |
26/01/2550 20:27 น. |
วิธีทดสอบโรเตอร์บาร์ โดยใช้การจ่ายซิงเกิลเฟสเข้าที่สเตเตอร์ แล้วหมุนโรเตอร์ ดูการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟที่สเตเตอร์ วิธีนี้จะใช้ได้ผลเฉพาะกรณีที่โรเตอร์ บาร์แครกหรือขาดออกจากกันอย่างสมบูรณ์ แล้ว เท่านั้น |
31/01/2550 12:58 น. |
ให้ความเห็นของคำตอบที่ 13 <br><br>จากข้อมูลที่แจ้งมาเป็นไปได้ว่าความร้อนที่เกิดที่แบริ่ง กับกระแสที่สูงมากกว่าปกติ อาจจะมีสาเหตุคนลเสาเหตุกัน ซึ่งจะต้องพิจารณาและหาสาเหตุของแต่ละปัญหา การที่แบริ่งมีความร้อนสูงขึ้นคงจะไม่ส่งผลให้กระแสของมอเตอร์สูงขึ้นมากเท่าไหร่<br><br>อย่างไรแล้วถ้าทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดปํญหา โพสขึ้นมาบอกกันบ้างน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิก นะครับ |
03/08/2550 22:04 น. |
ขอข้อมูลแบริ่งDEร้อนมาก90องศา |