ไทยรัฐออนไลน์
26 สิงหาคม 2553
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วย รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะประธานศูนย์ประสานงานการลงทุนเพื่อแก้ ปัญหามาบตาพุด (OSOS) เปิดเผยหลังการหารือกับผู้ประกอบการ 76 โครงการ ที่ถูกคำสั่งระงับกิจการจากกรณีปัญหามาบตาพุดว่า ได้มอบให้อัยการที่เป็นตัวแทน 8 หน่วยงาน รัฐที่ถูกฟ้อง นำข้อมูลกรณีมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่เห็นชอบ 11 โครงการ หรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ซึ่งถือเป็นข้อมูลใหม่เสนอต่อศาลปกครองกลางในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ที่จะมีการพิจารณานัดไต่สวนครั้งแรกเพื่อสืบโจทก์และพยาน
"เรื่องนี้ต้องรอประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ชัดเจนกว่านี้ และได้ มอบให้ผู้ประกอบการทำหนังสือถึง OSOS เพื่อที่จะดูว่าเข้าข่ายรุนแรงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กิจการทั้งหมดก็พร้อมที่จะทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ หรือเอชไอเอ และเอกชนส่วนใหญ่ยังมีข้อกังวลในการทำเอชไอเอ โดยเฉพาะกรอบเวลา ซึ่งอาจมีผลต่อการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ส่วนกิจการรุนแรงที่ประกาศมาไม่กังวลหากจะมีกิจการใดย้ายฐานการผลิตออกจากไทยโดยไม่คำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและชุมชน"
นายบวร วงศ์สินอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโสปฏิบัติการ บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR) กล่าวว่า การประกาศกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนรุนแรงออกมาถือว่าได้สร้างความชัดเจนต่อทั้งนักลงทุน ชุมชน และองค์กรภาคเอกชน แต่ทั้งหมดคงจะต้องรอประกาศจากศาลฯ ว่าท้ายสุดจะออกมาอย่างไรจึงจะทำให้เอกชนสามารถเดินหน้ากิจการได้
ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่า เครือ ปตท.มีกิจการที่ถูกระงับ 25 กิจการ ที่เป็นกิจการของ ปตท.เอง โดยไม่ได้ร่วมทุน 3 กิจการ ซึ่งหากศาลมีคำสั่งชัดเจนก็จะทำให้ 3 กิจการ เดินหน้าได้ทันที โดย 1 ในกิจการดังกล่าวเป็นโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งที่ 6 และโครงการควบคุมไอน้ำมัน เป็นต้น
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวยอมรับว่า การทำเอชไอเอยังเป็นของใหม่สำหรับเอกชน ระยะแรกอาจจะติดขัดบ้าง อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาดำเนินการหรือการนับระยะเวลาในกระบวนการเช่นรับฟังความเห็น ฯลฯ ยังไม่ชัดเจน และกังวลว่าการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และเอชไอเอ อาจต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ กล่าวหลังการปาฐกถาพิเศษเรื่อง "นโยบายส่งเสริมการลงทุนและสภาพแวดล้อมของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันของไทย" ให้กับนักธุรกิจจากประเทศสมาชิกเอเปคกว่า 150 ราย ที่เข้าร่วมการประชุมสภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปคครั้งที่ 3 ประจำปี 2010 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพว่า หลังคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบกำหนด 11 โครงการ หรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง จะทำให้ภาพการลงทุนไทยชัดเจนขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ เวทีดังกล่าวนับเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติเกี่ยวกับบรรยากาศทางธุรกิจของไทย รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลเรื่องโอกาสและลู่ทางการลงทุน โดยในช่วง 7 เดือนแรกปี 53 นักลงทุนจากประเทศสมาชิกเอเปคได้เข้ามาลงทุนในไทยรวมมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 70 ของการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในไทย
========================================================
================= ยูทุปของ 9engineer ,com ===================
คลิปที่น่าสนใจจัดทำโดย 9engineer.com ภายใต้ชื่อช่องTechnology talk Channel
**** นายเอ็นจิเนียร์ขอสงวนสิทธิ์รับรองความถูกต้อง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารข้อมูล