ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุริกิจ (โดย ค.คน)
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 ที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ ประกาศตนเป็นเอกราชมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง
ประชากรสิงคโปร์ล้วนได้รับการศึกษาอย่างดี และด้วยการสนับสนุนการค้าและพาณิชย์จากภาครัฐ สิงคโปร์มีฐานะเป็นผู้กลั่นน้ำมันรายใหญ่อันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา และยังมุ่งหน้าที่จะเป็นศูนย์กลางของการวิจัยทางเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่อย่างเรื่องสเต็มเซลล์อีกด้วย ที่นี่นับเป็นประเทศที่คนไทยรุ่นใหม่ที่สำเร็จการศึกษาระดับสูง หมายตาจะไปทำงานในองค์กรชั้นนำ หรือองค์กรข้ามชาติ และหากเดินทางไปที่สิงคโปร์ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก ที่จะพบคนไทยทำงานและประกอบกิจการอย่างหนาตา สิ่งที่ปฏิเสธได้ยากคือ ความแตกต่างหลากหลายและความเป็นสากล ประเทศนี้ดึงดูดนักลงทุน นักธุรกิจและนักบริหารองค์กรได้จากทั่วโลก เมื่อประกอบกับโลกการทำงานที่มีวิถีทำงานหนัก จริงจัง มุ่งมั่นที่จะสร้างผลลัพธ์อย่างเข้มข้น ถือเป็นที่ที่คนเก่งต้องการจะเรียนรู้และแจ้งเกิด หากจะเตรียมตัวไปเป็นคนทำงานในประเทศนี้ เรื่องภาษาไม่นับเป็นอุปสรรคสักเท่าใด แม้จะมีภาษาราชการถึงสี่ภาษา อันได้แก่ภาษามาเลย์ ทมิฬ จีนและอังกฤษ แต่ภาษาอังกฤษนับว่าเป็นภาษาที่ใช้ได้อย่างแพร่หลายทั้งในธุรกิจและในวงราชการ ส่วนศาสนานั้น สิงคโปร์ไม่มีศาสนาประจำชาติ ผู้คนนับถือศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และฮินดู แต่ราว 25% ไม่ระบุว่านับถือศาสนาใด ในทุกวันนี้ แม้ประชากรในสิงคโปร์ประกอบด้วยผู้คนอันหลากหลาย ในทุกวันนี้ชาวสิงคโปร์สัญชาติจีน ยังมีอิทธิพลสูงในภาคธุรกิจ และหากเมื่อใดที่ตกลงปลงใจว่าจะโกอินเตอร์ไปยังเมืองลอดช่อง สิ่งที่คนทำงานต้องเตรียมตัวหลักๆ คือ การสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ วิธีการทำงาน และข้อควรระวัง อย่าได้ถือว่าเพื่อนบ้านใกล้ๆ คงทำงานแบบครือๆ กันเชียวนะคะ การสื่อสารถือเป็นประตูบานแรกของการทำงานข้ามวัฒนธรรม คนทำงานต่างชาติสามารถจับมือเพื่อแสดงการทักทายได้ทั้งชายหญิง เพียงแต่ควรระมัดระวังไม่บีบแน่นและทอดมือไว้เนิ่นนานราวสิบวินาที ลักษณะการจับมือจะเป็นการจับทั้งสองมือเสียมากกว่าการจับมือแบบมือเดียวแบบตะวันตก แม้อากาศที่สิงคโปร์จะค่อนข้างปรวนแปร แต่สุภาพบุรุษควรแต่งกายอย่างประณีตในเชิงธุรกิจ แม้จะใส่สูทผูกเนกไท ก็ควรระมัดระวังความเรียบร้อยสะอาดสะอ้านของรองเท้าเข็มขัดและหน้าตา ส่วนสุภาพสตรีการแต่งกายเชิงธุรกิจ สามารถเติมลูกเล่นในสไตล์แฟชั่นได้ตามวัยอีกเล็กน้อย เป็นที่รู้กันว่าคนทำงานสิงคโปร์นั้น ทำงานหนัก เร็ว ฉับไว และกระตือรือร้น การปรับทีท่าภาษากาย และจังหวะจะโคนการพูดให้ไปในทางเดียวกันได้ จะช่วยให้การทำงานเข้าขา ดีกว่าเสี่ยงต่อการถูกประเมินว่าทำงานช้าและขาดประสิทธิภาพ ในส่วนของการนำเสนอนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางธุรกิจ หรือการนำเสนอในองค์กร จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดทำอย่างสมบูรณ์ และมีเทคนิคเชิงเทคโนโลยีอย่างแพรวพราว คนสิงคโปร์รุ่นใหม่มีกรอบแนวคิดและระบบความคิดเชิงวิเคราะห์อย่างชัดเจน การนำเสนอกระบวนการคิดอย่างมีตรรกะเป็นเรื่องมองข้ามไม่ได้ในการติดต่อ ประสานงาน หรือเจรจาต่อรอง และไม่ว่าจะติดขัดหรือประสบอุปสรรคเพียงใดก็ตาม จำเป็นต้องไปถึงที่นัดหมายตรงเวลาเสมอ การล่าช้าและทำให้ผู้บริหารหรือผู้อาวุโสกว่าต้องรอคอยเป็นเรื่องที่ขาดความเป็นมืออาชีพอย่างมาก สิ่งที่ต้องตระเตรียมเพิ่มเติมคือ เตรียมใจทำงานหนัก ในเวลาทำงานที่ทอดยาวกว่าเวลาทำงานปรกติ และยิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงเท่าไหร่ ยิ่งต้องเลิกดึกดื่นกว่าลูกน้อง นอกจากการทำงาน เวลาที่ต้องใช้ เพื่อให้ได้ทั้งงานและความสัมพันธ์ คือ การเข้าร่วมงานสังสรรค์และกิจกรรมทางสังคม ข้อควรระวังเรื่องภาษากายเมื่อต้องการสื่อสารกับผู้ที่อาวุโสกว่าคือ การสบตา การสบตาตรงๆ อาจถูกตีความว่าเป็นการท้าทายได้ ทางที่ดี คือ สบตาแบบอ่อนโยน และมองทั้งใบหน้า จะสุภาพ ยอมรับได้มากกว่าการจ้องตรงเข้าไปที่นัยน์ตา คนทุกชาติย่อมมีความภูมิใจในชาติตน แต่อาจต่างกันไปในวิถี คนสิงคโปร์ภูมิใจยิ่งในความเป็นชาติปลอดคอร์รัปชัน เจ้าหน้าที่ภาครัฐนั้น ไม่สามารถรับของขวัญของกำนัลจากผู้ติดต่องานอย่างเด็ดขาด ส่วนผู้ที่ติดต่องาน หรือ ปฏิบัติงานร่วมกัน จำเป็นต้องเพาะสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกันเสียก่อนจะให้ของขวัญแทนใจ มิฉะนั้นแทนที่จะเป็นผลดี อาจกลับกลายได้ผลตรงข้าม นอกจากนี้ การเปิดใจรับสิ่งใหม่ มุ่งสร้างผลลัพธ์ในงาน ละเอียดอ่อน และปรับตัวเข้าหาวิถีการทำงานของสิงคโปร์ ถือเป็นคุณค่าเพิ่มที่จะประกันความสำเร็จในเมืองสิงหปุระแห่งนี้ ได้ยิ่งกว่าใคร |
========================================================