ระบบโทรทัศน์วงจรปิด CCTV คืออะไร
กล้องวงจรปิด (CCTV) ย่อมาจาก Closed-circuit television ซึ่งจะทำหน้าที่รับภาพที่ปรากฏอยู่ และทำการแปลงเป็นสัญญาณ และทำการส่งสัญญาณดังกล่าวไปในจุดที่ต้องการในลักษณะ point to point
โทรทัศน์วงจรปิด ส่วนมากที่ใช้งานในปัจจุบันนี้มี 2 ลักษณะ คือ :
1. ติดตั้งตายตัว หรือ กล้องติดอยู่กับที่ (Fixed Camera) |
หมายถึงตัวกล้องจะติดตั้งอยู่บนขากล้องหรืออื่นๆ ซึ่งไม่สามารถจะขยับ หรือหมุนเปลี่ยนทิศทางในการดูได้ ถ้าต้องการหมุนหรือเปลี่ยนทิศทาง ก็จะต้องถอดตัวกล้องแยกออกจากขากล้อง จึงจะเปลี่ยนตำแหน่งได้ |
2. สามารถหมุนปรับทิศทางได้ (Moving Camera) |
เพื่อ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน ระบบโทรทัศน์วงจรปิด จึงได้มีการเพิ่มอุปกรณ์ประกอบเข้าไป คือ ฐานกล้องหมุนปรับทิศได้ สามารถที่จะปรับให้หมุนซ้าย / ขวา ก้ม-เงย ได้ ( Pan and Tilt unit ) และอาจจะมีอุปกรณ์อื่นเพิ่มอีก เช่น เลนส์ปรับขนาดภาพได้ (Zoom Lens) และ เครื่องหุ้มกล้อง (Camera Housing) เป็นต้น |
ฐานกล้องหมุนปรับทิศได้ (Pan & Tilt unit )
เป็นอุปกรณ์ที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กล้อง สามารถที่จะเปลี่ยนได้หลายทิศทาง ทั้งมุมต่ำ และมุมสูง เช่น กล้องที่ติดตั้งอยู่กับ Pan & Tilt unit ติดตั้งบนเสามีความสูงประมาณ ๑๐ เมตร สามารถที่จะปรับมุมก้มเพื่อจะดูวัตถุ หรือคนที่อยู่บนพื้นดิน ซึ่งมีระดับต่ำกว่าตำแหน่งที่ติดตั้งกล้อง หรือมุมเงยเพื่อมองไปยังอาคารที่สูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นทิศทางตรงด้านหน้า หรือจะหมุนไป ยังทิศทางอื่นๆ ก็สามารถทำได้
โดยปกติ กล้องที่มี Pan & Tilt unit จะใช้เลนส์ที่สามารถปรับขนาดภาพได้ ควบคู่ไปด้วยกัน แต่ไม่จำเป็นเสมอไป ขึ้นอยู่กับงานที่ใช้ มากกว่า ในบางลักษณะอาจจะต้องการเพียงให้สามารถปรับทิศในการดูก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องการจะดูในรายละเอียด ในบางลักษณะก็มีความจำเป็นต้องการใช้เลนส์ที่สามารถปรับขนาดของภาพได้ เพื่อจะดูรายละเอียดของภาพที่ต้องการจะดูเพราะว่าระยะของวัตถุหรือจุดที่ ต้องการจะดูในแต่ละทิศทางจะมีความแตกต่างกันไป.
เลนส์ปรับขนาดภาพได้ ( Zoom Lens )
เป็นเลนส์ที่สามารถเปลี่ยนขนาดภาพได้ ( เปลี่ยน ความยาวโฟกัส) เลนส์ฯ ที่นำมาใช้กับ กล้องที่มี Pan & Tilt unit ส่วนมากจะเป็นชนิด ที่ควบคุมการทำงานด้วยมอเตอร์ เราจึงเรียกว่า Motorized Zoom Lens
การ เลือกใช้ Motorized Zoom Lens ควรจะเลือกให้เหมาะกับงานที่จะใช้ เพราะว่า Motorized Zoom Lens มีหลายแบบ หลายขนาดตามความยาวโฟกัส เช่น การใช้ภายในอาคาร มี พื้นที่ไม่ใหญ่ ก็ใช้ Motorized Zoom Lens ที่มีความยาวโฟกัสไม่มากนัก เช่น ๖ - ๓๕ ม.ม. ( ๖ เท่า) ถ้าเป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่ หรือภายนอกอาคารพื้นที่กว้าง หรือต้องการจะดูให้เห็นรายละเอียดมากๆ ก็ควรใช้ Motorized Zoom Lens ที่มีความยาวโฟกัสมากขึ้น เช่น ๖ - ๖๐ ม.ม. ( ๑๐ เท่า) ถ้าติดตั้งนอกอาคาร หรือต้องการที่จะมองให้เห็นได้ไกล ก็ควรใช้ Motorized Zoom Lens ที่มีความยาวโฟกัสมากขึ้นไป เช่น ๖ - ๑๒๓ ม.ม. (๒๑ เท่า) เป็นต้น
อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบโทรทัศน์วงจรปิด
1. กล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV Camera)
2. เลนส์ (CCTV Lenses)
3. เครื่องบันทึกภาพ (Video Recorder)
4. จอภาพ (Video Monitor)
5. เครื่องเลือก / สลับภาพ (Video Switcher) และ เครื่องผสม / รวมภาพ (Multiple Screen Displays)
6. ระบบการควบคุม (Control System)
7. อุปกรณ์เสริม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบโทรทัศน์วงจรปิด (Related Accessories for more efficiency CCTV System)
7.1. กล่องหุ้มกล้อง (Camera Housing)
7.2. ฐานกล้องปรับทิศทางได้ (Pan & Tilt units)
7.3. อุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ควรดูอะไรบ้างก่อนใช้ กล้องวงจรปิด
1) การเลือกชนิดของกล้องวงจรปิด : ชนิดของกล้อง กล้องวงจรปิดมีหลายชนิดหลายแบบ โดยแบบได้คร่าว ๆ ดังนี้
- กล้องแบบ CS MOUNT เป็นกล้องที่ต้องใช้เลนส์ต่อกับกล้องทำให้เกิดภาพ ข้อดี คือภาพจะชัด เพราะเลนส์ที่ใช้เป็นเลนส์มาตรฐานขนาดใหญ่
- กล้องแบบโดม เหมาะสำหรับสถานที่ที่ต้องการความสวยงามหรือไม่ต้องการให้สังเกตเห็นว่ามีการติดตั้งกล้องวงจรปิด
• ความละเอียดของภาพ (Resolution) กล้องที่ให้ภาพจะชัดเจนหรือไม่ขึ้นอยู่กับชนิดของแผ่นรับภาพ CCD ซึ่งแบบได้ 2 แบบ คือ
- Normal Resolution เป็นแบบที่มีความละเอียดของภาพปกติ ประมาณ 330 - 380 TV LINE
- High Resolution เป็นแบบที่มีความละเอียดของภาพสูงประมาณ 400 - 550 TV LINE หมายเหตุ กล้องที่มีความละเอียดของภาพสูงจะมีราคาสูงตามไปด้วย
• ความสามารถในการรับแสง (Illumination) กล้องที่มีความสามารถในการรับแสงต่ำ(LUX) จะสามารถใช้ในสถานที่ที่มีความสว่างน้อย (ในที่มืด) ได้ และราคาจะสูงตามไปด้วย
2) เลนซ์ (LENS) ; การเลือกเลนซ์ มีความสำคัญในการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด
หลักการทำงานของเลนซ์
เลนซ์จะตัวรวมแสงให้ภาพตกกระทบที่แผ่นรับภาพ CCD โดยมี IRIS , (ช่อง ให้แสงผ่าน) เป็นตัวกำหนดให้ภาพที่เกิดมีความเข้มของแสงตามต้องการ ถ้าในที่มีแสงมาก IRIS จะต้องเปิดน้อย ถ้าในที่มืดจะต้องเปิด IRIS ให้กว้างที่สุด
ชนิดของเลนซ์
FIX IRIS IRIS ของเลนซ์จะไม่สามารถปรับได้ ทำให้จะต้องใช้ในสถานที่ภายในอาคาร ที่มีแสงสว่างคงที่ตลอดเวลา
MANUAL IRIS IRIS ของเลนส์จะสามารถปรับได้ด้วยช่างเทคนิคที่ติดตั้งกล้อง เหมาะสำหรับงานในอาคารที่มีความสว่างในแต่ละห้องไม่เท่ากัน สามารถปรับแสงให้เหมาะสมในแต่ละห้องได้
AUTO IRIS เป็นเลนส์ที่ IRIS จะปรับขนาดการรับแสงเอง โดยอัตโนมัติขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงที่ตกกระทบเลนส์ เหมาะสำหรับติดตั้งนอกอาคารที่ความสว่าง เปลี่ยนตามแสงอาทิตย์
3) อุปกรณ์ควบคุมและบันทึกภาพ
แบบใช้เทป (ANALOG)
เครื่องแบ่งภาพ MULTIPLEXER เครื่องบันทึกภาพ
ประกอบด้วย
- MULTIPLEXER (เครื่องแบ่งภาพ) ใช้ต่อกับกล้องได้ 4 ตัว, 8 ตัว และ 16 ตัว
- TIMELAPSE RECORDER (เครื่องบันทึกภาพ) ใช้บันทึกภาพด้วยเทป มีแบบ 24 ชั่วโมง 96 ชั่วโมง, 196 ชั่วโมง, 960 ชั่วโมง
- จอภาพ (MONITOR, TV) ใช้แสดงภาพ
- แบบใช้ HARDDISK (DVR)
- บันทึกภาพลง HARDDISK แบ่งได้ 3 ประเภท
- แบบ CARD เป็น CARD ที่สามารถต่อกล้องได้ 4, 8, 16 ตัว โดยจะต้องใช้ COMPUTER
- แบบ STANDALONE เป็นแบบ ที่ประกอบ COMPUTER มาจากโรงงานโดยตรงเป็นแบบ PC BASE
- แบบ STAND ALONE NON PC เป็นแบบ อุปกรณ์ประกอบจากโรงงานทั้งชุดและไม่ใช้โปรแกรม WINDOW (NON PC)
ข้อดีของการเลือกใช้กล้อง Network camera เมื่อเปรียบเทียบกับกล้อง Analog
1. การ Access หรือการเข้าถึงตัวกล้อง ซึ่งโดยปกติแล้วกล้อง Network camera นั้นสามารถที่จำทำการเข้าถึงตัวกล้องได้จากทุกๆที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนบนโลก เนื่องจากว่าตัวกล้องนั้นสามารถทำงานได้บนพื้นฐานระบบเครือข่าย(Network) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกล้องเข้ากับระบบ LAN, Wan แล้วก็ Internet ได้ โดยสามารถเรียกดูภาพจากกล้องได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เปิดโปรแกรม IE (Internet Explorer) ซึ่งมีอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วๆไปอยู่แล้ว ซึ่งแตกต่างจากกล้องระบบ Analog โดยสิ้นเชิง เพราะว่าตัวกล้อง Analog นั้นไม่สามารถเข้าถึงตัวกล้องได้โดยตรงไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม
2. Easy to use การใช้งานค่อนข้างง่าย เนื่องจากสามารถเรียกดูภาพได้จากโปรแกรม IE (Internet Explorer)ได้อย่างง่ายแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถเข้าไปกำหนดค่าการทำงานต่างๆของตัวกล้องได้อีกด้วย
3. Quality หรือคุณภาพของภาพที่ได้ ในระบบกล้อง Network camera นั้นผู้ใช้สามารถเข้าไปกำหนดค่าการใช้งานต่างๆผ่านโปรแกรม IE (Internet Explorer) ได้ที่กล้องโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนด Resolution ของภาพ การตั้งค่าการ Compression ของภาพ ซึ่งสามารถที่จะกำหนดคุณภาพของภาพได้ตามความต้องการ อีกทั้งรูปแบบของไฟล์ยังเป็นดิจิตอล ทำให้ไม่เกิดปัญหาในเรื่องของระยะทางในการส่งสัญญาณภาพหรือการดึงภาพมา บันทึก ซึ่งต่างจากระบบ Analog ซึ่งบางครั้งการติดตั้งในระยะที่ไกลเกินไป หรือสภาวะแวดล้อมที่มีสัญญาณกวนต่างๆ จะทำให้การส่งสัญญาณภาพเกิดปัญหาขึ้นได้
4. System Requirement ความต้องการของระบบ กล้อง Network camera นั้นสามารถทำงานได้บนระบบเครือข่ายที่ผู้ใช้มีอยู่ได้เลย เพียงแค่ปลั๊กอุปกรณ์กล้องเข้ากับระบบเครือข่ายก็สามารถใช้งานได้ทันที ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งแบบเดินสาย หรือ ไร้สาย (Wireless) และในการบันทึกภาพนั้นก็เพียงแค่ใช้โปรแกรมบันทึกภาพลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั่วๆไปก็สามารถที่จะดึงภาพจากกล้องมาบันทึกได้ทันที ไม่เหมือนกับระบบ Analog ซึ่งจำเป็นจะต้องวางระบบใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่การเดินสาย รวมถึงจะต้องซื้ออุปกรณ์ที่เรียกว่า DVR (Digital video recorder) เพื่อใช้ในการบันทึกภาพ
5. Installation การติดตั้ง ระบบ Network นั้นสามารถติดตั้งได้อย่างง่ายดาย หรือสามารถใช้งานร่วมกับระบบเครือข่ายเดิมที่มีอยู่ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นแบบเดินสาย หรือแบบไร้สาย ซึ่งจะยิ่งทำให้การติดตั้งนั้นง่ายดายมากยิ่งขึ้น ผิดกับ Analog ซึ่งจะต้องเดินสายใหม่ทั้งหมด
6. Cabling สายสัญญาณ ระบบ Network นั้นจะใช้สายสัญญาณประเภท UTP ซึ่งปัจจุบันมีราคาค่อนข้างถูก อีกตั้งตัวสายยังมีความยืดหยุ่นสูง สามารถที่จะเดินสายติดตั้งได้โดยง่าย อีกทั้งปัจจุบันยังมีเทคโนโลยี Wireless LAN ซึ่งช่วยให้ลดการติดตั้งแบบเดินสายได้อีกด้วย แต่ระบบ Analog นั้นใช้สายสัญญาณประเภท Coax ซึ่งลักษณะของสายมีขนาดใหญ่และค่อนข้างแข็ง ทำให้ในการติดตั้งนั้น ค่อนข้างกระทำได้ยาก เนื่องจากจะต้องเดินสายจากกล้องทุกตัวมาเข้ากับเครื่องบันทึกภาพ (DVR)
7. Scalability การขยายระบบ ระบบกล้อง Network camera นั้นสามารถเพิ่มกล้องเข้าสู่ระบบได้โดยง่าย เพียงแค่ปลั๊กกล้องเข้ากับระบบเครือข่ายก็สามารถใช้งานได้ อีกทั้งยังสามารถเพิ่ม ลด หรือย้ายจุดติดตั้งได้อย่างง่ายได้ โดยหากใช้เป็นระบบ Wireless จะยิ่งเพิ่มความสะดวกมากขึ้น ผิดกับระบบ analog ซึ่งแต่ละกล้องจำเป็นจะต้องเดินสายใหม่ทั้งหมด ทำให้ในการเพิ่มจำนวนกล้อง หรือย้ายจุดติดตั้งนั้นทำได้โดยลำบาก ซึ่งหากระยะไกลเกินไปก็อาจจะทำให้สัญญาณภาพเกิดปัญหาขึ้นได้อีก
8. Cost ค่าใช้จ่าย ระบบกล้อง Network camera นั้นสามารถใช้งานร่วมกับระบบเครือข่ายที่มีอยู่ได้ทันที ซึ่งโดยปกติแล้ว หากเป็นอาคารสำนักงานต่างๆก็จำเป็นจะต้องมีระบบเครือข่ายใช้งานภายในอยู่ แล้ว หรือหากต้องมีการติดตั้งใหม่นั้น โดยเฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแบบเดินสาย UTP นั้นจะถูกกว่าการติดตั้งหรือเดินสายแบบ Coax อยู่ประมาณ 20-30% นอกจากนั้นปัจจุบันราคาของอุปกรณ์ Network รวมถึงราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ยังมีราคาลดลงจากเมื่อก่อนมาก อีกทั้งการติดตั้งระบบเครือข่ายใหม่ นอกจากจะสามารถใช้งานระบบกล้อง Network camera แล้วยังสามารถใช้งาน Application อื่นๆได้ด้วย ซึ่งทำให้ค่ายใช้จ่ายในปัจจุบันนั้น ไม่ได้สูงกว่าระบบ analog แบบเก่าเลย
จากเหตุผลต่างๆข้างต้น ผู้ใช้จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันกล้อง Network camera นั้นค่อนข้างจะมีปะสิทธิภาพ และประโยชน์ในการใช้งานที่หลากหลายกว่าระบบ Analog ไม่ว่าจะเป็นตัวกล้องเอง ระบบในการใช้งานเอง ความยากง่ายในการติดตั้ง เคลื่อนย้าย ก็ตาม แล้วที่สำคัญปัจจุบันค่าใช้จ่ายต่างๆนั้นก็ใกล้เคียงกับระบบ Analog แบบเก่า แต่ให้ประโยชน์การใช้งานที่มากกว่า จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าในการเลือกใช้ระบบกล้องที่เป็นแบบ Network camera
การพิจารณาซื้อระบบกล้องวงจรปิด
» ประเทศผู้ผลิต:::: ปัจจุบันสินค้าที่ผลิตในประเทศไต้หวัน เป็นที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและราคา ทำให้เป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่สินค้าจากประเทศจีน ที่บริษัทต่างๆ นำเข้ามาขายจะเน้นราคาถูก ทำให้สินค้าไม่มีคุณภาพอายุการใช้งานสั้นมาก 3 เดือน - 2 ปี ทางที่ดี เน้นสินค้าที่ผลิตจากประเทศไต้หวันเป็นหลัก จะดีกว่า
» อุปกรณ์ที่ใช้:::: สินค้าหลักที่ใช้ในระบบกล้องวงจรปิดมี 2 รายการ คือ
กล้องวงจรปิด แบ่งเป็น 3 ชนิดหลักๆ คือ
1. กล้องแบบโดม :: เหมาะสำหรับใช้ในอาคาร ที่แสงสว่างไม่เปลี่ยนแปลง ราคาถูก
2. กล้องแบบทรงเหลี่ยม (CS - MOUNT) :: เหมาะสำหรับใช้ทั้งภายใน และภายนอก ต้องใช้คู่กับเลนส์
ซึ่งสามารถเปลี่ยนขนาดโฟกัสของเลนส์ได้ ทำให้ได้ภาพที่คมชัดตามพื้นที่ที่ต้องการ
3. กล้อง INFARED ::: เหมาะสำหรับใช้ทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะพื้นที่ที่มืดสนิทในตอนกลางคืน เพราะมีหลอด INFARED ผลิตความถี่ให้เห็นในที่มืดสนิทได้
อุปกรณ์บันทึกภาพ ต้องพิจารณาคุณลักษณะหลักๆ คือ
1. ชนิดของอุปกรณ์บันทึกภาพ
แบบ PC BASE จะใช้ในโปรแกรม MS Office มีแบบเป็น CARD และแบบผลิตสำเร็จมาพร้อม Computer จะมีคุณสมบัติมากมายเหมือน Computer
แบบ STANDALONE เป็นแบบที่เป็นตัวเครื่องผลิตสำเร็จรูปมาจากโรงงาน มีคุณสมบัติครบถ้วนราคาถูก
2. ความเร็วของภาพที่ดูจากจอภาพ / ความเร็วในการบันทึกภาพ จะพิจารณาเป็น ความเร็วภาพ/วินาที (Frame) ถ้ามีความเร็วสูง ภาพจะดูต่อเนื่องแต่เปลือง Memory ใน Harddisk มาก
3. มาตรฐานในการบีบอัด (Compression) ของภาพมาตรฐานที่เป็นที่นิยมกันหลักๆ มีดังนี้ MPEG4 , MJPEG และ H.264 MPEG4 เป็นที่นิยมสูงสุด เพราะใช้พื้นที่ในการบันทึกน้อย
4. การดูภาพผ่าน Internet / Lan ควรจะสามารถดูผ่าน Internet / Lan ได้
การรับประกันสินค้า จะต้องขอเอกสาร เงื่อนไข การรับประกัน สินค้าจากบริษัทที่จำหน่าย เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
การติดตั้ง มีความสำคัญมากไม่น้อยกว่าการเลือกสินค้า สายที่ใช้ในการติดตั้งมี 2 ชนิดคือ
1. สายไฟฟ้า จะต้องใช้สายที่ได้มาตรฐาน มอก. ระวังผู้ขายที่ขาดความรับผิดชอบจะใช้สายโทรศัพท์แทนสายไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้สายร้อนและเกิดอัคคีภัยได้
2. สายสัญญาณใช้สาย RG6 ที่ได้มาตรฐาน โดยจะต้องใช้สาย SHIELD 90% ขึ้นไป ควรจะใช้ยี่ห้อ มาตรฐาน เพราะถ้าใช้สายถูก ราคาเมตรละ 5 - 8 บาท จะ SHIELD ต่ำ 60% จะใช้งานได้ไม่นาน ภาพของกล้องจะเกิดสัญญาณรบกวน ต้องเดินสายใหม่ทั้งหมด งานติดตั้งจะต้องตรวจสายที่ติดตั้งจริงก่อนชำระการติดตั้ง การติดตั้งสำคัญมาก ถ้าต้องรื้อและเดินสายใหม่จะเป็นเรื่องใหญ่มาก
การเลือกบริษัทที่จำหน่าย
ปัจจุบันธุรกิจกล้องวงจรปิดบูมมากทำให้บริษัทขายกล้องวงจรปิดเกิดมาก ทำให้มีการแข่งขันสูง มีผู้ขายบางรายหลอกลวงลูกค้า บางรายปิดกิจการไป โดยมีปัญหาต่างๆ พอสรุปดังนี้
1. นำสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน มาจำหน่าย โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีน ปัจจุบันสินค้าจีนที่มี คุณภาพดีมีจำนวนมากแต่ราคาจะใกล้เคียงสินค้าจากประเทศไต้หวันบางครั้งมีการ แอบอ้างว่าผลิต ในประเทศไต้หวัน แต่เป็นสินค้าคุณภาพต่ำจากประเทศจีน ส่วนใหญ่ลูกค้าที่พิจารณาแต่ราคาจะประสบปัญหา ซื้อไปแล้วใช้ไม่ได้นาน สินค้าจะชำรุดเร็วมาก
2. ผู้ขายไม่บริการหรือบริการช้ามาก เนื่องจากผู้ขายไม่ได้นำเจ้าโดยตรง หรือผู้นำเข้าเลิกกิจการ จะต้องพิจารณาความมั่นคงของผู้ขาย หรือผู้นำเข้าเป็นสำคัญ
3. การติดตั้งที่ไม่ได้มาตรฐาน ใช้สายไฟและสายสัญญาณ ที่ไม่ได้มาตรฐานมาติดตั้ง ทำให้ภาพที่ปรากฏไม่ชัดเจน หรือใช้ได้ไม่นาน ภาพก็ไม่ชัดรวมถึงการไม่รับผิดชอบเกี่ยวกับ การติดตั้ง ควรระวังเรื่องการติดตั้งเป็นเรื่องสำคัญมาก
สรุป
เลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพดี ในราคามาตรฐานพิจารณาชนิด ประเภทของสายที่ใช้ในการติดตั้งอย่างละเอียด ซื้อสินค้า จากบริษัทที่น่าเชื่อถือเป็นมืออาชีพ เป็นผู้นำเข้าหรือตัวแทนของผู้นำเข้าที่ได้รับมาตรฐานรับรอง อาทิ บริษัทที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2000 รวมถึงอายุการรับประกันสินค้าถ้านาน จะเป็นหลักประกันในการให้บริการ
สุดท้ายนี้ ควรไปชมการสาธิตสินค้าที่บริษัทผู้ขาย เพื่อจะได้เห็นคุณภาพสินค้าด้วยตาของเราเอง อีกทั้งจะได้เห็น กิจการของผู้ขายว่ามีความมั่นคง และมีบุคคลากร พร้อมที่จะให้บริการแก่ท่านหรือไม่ เพราะว่าเราควรจะใช้กล้องวงจรปิด ให้มีอายุการใช้งานอย่างน้อย 5 ปี
การทำงานของเลนส์
เลนส์จะเป็นตัวรวมแสงให้ภาพตกกระทบที่แผ่นรับภาพ CCD โดยมี IRIS (ช่องให้แสงผ่าน) กำหนดให้ภาพที่เกิดมีความเข้มของแสงตามต้องการ
- ในกรณีที่มีแสงมาก IRIS จะต้องเปิดน้อย
- ในกรณีที่มีแสงน้อย IRIS จะต้องเปิดมาก
ประเภทของเลนส์
1. FIX IRIS IRIS ของเลนส์จะไม่สามารถปรับได้ ทำให้จะต้องใช้ในสถานที่ภายในอาคาร ที่มีแสงสว่างคงที่ตลอดเวลา
|
|
2. MANUAL IRIS IRIS
|
|
3. AUTO IRIS เป็นเลนส์ที่ IRIS จะปรับขนาดของการรับแสงเอง โดยอัตโนมัติขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงที่ตกกระทบเลนส์ เหมาะสำหรับติดตั้งนอกอาคารที่ความสว่างเปลี่ยนตามแสงอาทิตย์ |
การเลือกใช้เลนส์
โดยทั่วไปจะมีมาตรฐานเกลียวอยู่2ชนิด โดยทั้ง2ชนิดนั้นจะมีเกลียวขนาด 1นิ้ว และมีลักษณะคล้ายๆกัน - CS-mount ระยะห่างระหว่างตัวเซ็นเซอร์และเลนส์จะมีขนาด 12.5 มิลลิเมตร |
|
|
- C-mount ระยะห่างระหว่างตัวเซ็นเซอร์และเลนส์จะมีขนาด 17.5 มิลลิเมตร โดยสามารถที่จะใช้ C/CS Adapter ring เพื่อที่จะแปลงเลนส์แบบ C-mount ไปเป็นแบบ CS-mount ได้ |
- Sensor size (ขนาดของตัวรับภาพ) เลนส์โดยทั่วไปนั้นจะสร้างภาพที่มีขนาดใหญ่พอสำหรับตัวเซ็นเซอร์ โดยที่เซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะมีราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย โดยที่เลนส์ที่มีขนาด ½ นิ้ว ก็จะใช้งานได้สำหรับเซ็นเซอร์ที่มีขนาด 1/2 นิ้ว, 1/3 นิ้ว และ ¼ นิ้ว จะไม่สามารถใช้ได้กับเซ็นเซอร์ที่มีขนาด2/3 นิ้ว ถ้าคุณเลือกเลนส์สำหรับเซ็นเซอร์ขนาดเล็กมาใช้งานกับเซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ ก็จะได้ภาพที่มีมุมเป็นสีดำ - Focal length (ความยาวของจุดโฟกัส) ความยาวของจุดโฟกัสประกอบกับขนาดของเซ็นเซอร์จะให้มุมที่ดูแตกต่างกัน โดยถ้าขนาดความยาวของโฟกัสสั้นจะให้มุมมองที่กว้าง(wide-angle view) ถ้าขนาดความยาวของจุดโฟกัสยาว จะให้มุมมองที่แคบลง(telephoto view) เลนส์ ที่มีมุมมองที่กว้าง(wide-angle view) จะมีมุมมองส่วนลึกของพื้นที่ได้ดีกว่าเลนส์ที่มีมุมมองแคบ(telephoto view) นั้นหมายความว่าคุณสามารถที่จะโฟกัสภาพเข้ามาใกล้ได้จากระยะไกล ซึ่งเลนส์ที่มีมุมมองแคบจะต้องการการโฟกัสภาพที่ถูกต้อง แน่นอนกว่า |
รูปแบบหลักของเลนส์มีอยู่ 3 แบบคือ
- Mono-focal. ความยาวของจุดโฟกัสนั้นถูกกำหนดมา เช่น 4 มิลลิเมตร
- Zoom. ความยาวของจุดโฟกัสนั้นสามารถที่จะปรับได้โดยอยู่ในระยะที่กำหนด เช่น 4 ถึง 10 มิลลิเมตร
- Varifocal zoom. เป็นเลนส์ซูมที่มีราคาค่อนข้างต่ำ โดยถ้ามีการเปลี่ยนระยะห่างของจุดโฟกัส เลนส์นั้นจะต้องมีการปรับตั้งโฟกัสใหม่ โดยทั่วไปจะมีขนาด 3.5 ถึง 8 มิลลิเมตร
ตัวอย่าง
ขนาดภาพขนาดใดที่คุณสามารถที่จะเห็นได้ในระยะ10 ฟุต ถ้าคุณใช้กล้องที่มีขนาดเซ็นเซอร์ ¼ นิ้ว และใช้เลนส์ขนาด 4 มิลลิเมตร? H = D x h / f = 10 x 3.6 / 4 = 9 ft
- Iris(รูรับแสง)ในส่วนของ Iris จะเป็นส่วนที่ใช้กำหนดปริมาณของแสงที่จะผ่านไปสู่เลนส์ โดยที่จะมีลักษณะแตกต่างกันอยู่ 3 แบบคือ
- Manual Iris. หมุนปรับได้ที่วงแหวนIris หรือเลือกใช้เลนส์ที่กำหนดค่าIris มาแล้ว โดยเลือกขนาดของIris ทีมีให้ เช่น F1.4, F2.0 เป็นต้น
- DC Auto Iris. เชื่อมต่อเข้าที่ช่องต่อ output ของตัวกล้อง โดยที่Iris จะถูกควบคุมโดยตัวกล้องโดย Digital Signal Processor (DSP)
- Video Auto Iris. Iris จะถูกควบคุมโดยสัญญาณวีดีโอ
เลนส์แบบออโต้ไอริสนั้น เหมาะสำหรับงานที่อยู่ภายนอกอาคาร โดยเลนส์นั้นจะสามารถปรับแสงให้เหมาะกับสภาพแสงขณะนั้น โดยที่จะให้คุณภาพแสงที่ดีที่สุด และยังสามารถป้องกันตัวรับภาพจากปริมาณแสงที่มีเข้ามามากเกินไป
- F-number
F-number =Focal length / Iris diameter
ถ้าจำนวน F น้อย จะทำให้คุณภาพของภาพนั้นดีกว่าในสภาวะที่มีแสงน้อย
กับ เลนส์ที่เป็นออโต้ไอริสนั้น จะต้องตั้งโฟกัสภาพในขณะที่มีแสงน้อยเสมอ เพราะถ้ามีการตั้งโฟกัสในขณะที่มีแสงสว่างเยอะนั้น อาจจะทำได้ง่าย แต่ว่าในขณะที่แสงนั้นน้อยลงจะทำให้เส้นผ่านศูนย์กลางของรูรับแสงปรับเล็กลง และอาจจะทำให้ภาพนั้นไม่อยู่ในโฟกัสได้ คุณสามารที่จะใช้ตัวกรองแสงสีดำแบบพิเศษ ซึ่งจะช่วยให้เราลดปริมาณแสงได้ ตัวกรองแสงนี้จะช่วยในการติดตั้งกล้องของคุณได้
========================================================