วัตต์แสง (The Light Watt) :
ความไวของตาผันแปรไปตามความยาวคลื่นแสงภายใต้การเห็นในภาวะสว่าง (กลางวัน) ความไวสูงสุดอยู่ที่ 555 นาโนเมตรบัดนี้ เราสามารถเลือกกำหนดให้หนึ่งวัตต์ของกำลังไฟฟ้าที่แผ่ออกมาที่ความยาวคลื่น 555นาโนเมตร มีค่าเท่ากับหนึ่ง 'วัตต์แสง' (light-watt)หนึ่งวัตต์ของกำลังไฟฟ้าที่แผ่ออกมาที่ความยาวคลื่นต่างกันภายในพิสัยการมองเห็นจะต้องถูกนำไปคูณกับตัวประกอบความไวตาสัมพัทธ์ ซึ่งกำหนดโดยกราฟความไวตาเชิงสเปกตรัมสำหรับการเห็นในภาวะสว่าง นั่นคือ กราฟเส้นโค้ง V(I)โดยการกระทำเช่นนั้น เราจึงได้ค่าของวัตต์แสงที่ตรงกับความยาวคลื่นนั้นตัวอย่างเช่น การแผ่รังสีที่ความยาวคลื่น 490 นาโนเมตรความไวของตามีเพียง 20% ของการแผ่รังสีที่ความยาวคลื่น 555 นาโนเมตรดังนั้น หนึ่งวัตต์ของกำลังไฟฟ้าที่แผ่ออกมาที่ความยาวคลื่น 490 นาโนเมตร มีค่าเท่ากับ 0.2 วัตต์แสง
ที่ความสว่างระดับต่ำ ความไวของตาเลื่อนไปทางซ้าย (คือ ไปทางความยาวคลื่นที่สั้นลง) ด้วยความไวสูงสุดที่ 507 นาโนเมตร ซึ่งเรียกว่า การเห็นในภาวะมืด
แคนเดลา :
โดยการรับเอาวัตต์แสง (light-watt) มาเป็นหน่วยของการแผ่รังสีที่มองเห็นได้สำหรับการแสดงการรับรู้ทางสายตาในเชิงปริมาณ จะทำให้ความคลุมเคลือหายไปโดยสิ้นเชิงอย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ เพราะนานมาแล้วก่อนที่สูตรนี้จะถูกคิดค้นขึ้น มีหน่วยการส่องสว่างที่ได้มาจากหนึ่งในมาตรฐานการส่องสว่างรุ่นแรกที่ถูกนำกลับมาใช้อีกมาตรฐานนี้ คือ 'แรงเทียน'(candle power) ซึ่งกลายมาเป็น (ภายหลังปี ค.ศ. 1948) 'แคนเดลา' (candela)แท้จริงมันคือ หน่วยของความเข้มแสงในทิศทางใดทิศทางหนึ่งแหล่งกำเนิดแสงที่แผ่ความเข้มแสงจำนวนหนึ่งแคนเดลาในทุกทิศทางรวมกันทำให้เกิดปริมาณแสงต่อวินาทีที่กำหนดไว้อย่างดี ซึ่งได้รับการตั้งชื่อว่า 'ลูเมน'สิ่งนี้กลายเป็นมาตรฐานการส่องสว่างสำคัญที่ใช้ในปัจจุบัน
ประสิทธิภาพการส่องสว่างเชิงสเปกตรัมสูงสุด
การคำนวณแสดงให้เห็นว่า หนึ่งวัตต์ของกำลังไฟฟ้าที่แผ่ออกมาที่ความยาวคลื่น 555 นาโนเมตร มีค่าเท่ากับ 683 ลูเมนตัวเลขนี้ คือ 'ประสิทธิภาพการส่องสว่างเชิงสเปกตรัมสูงสุด'ด้วยเหตุนี้ หนึ่งวัตต์ของกำลังไฟฟ้าที่แผ่ออกมาที่ความยาวคลื่น 490 นาโนเมตร มีค่าเท่ากับ 0.2 x 683 = 137 ลูเมน
ดังนั้น ลูเมนจึงหมายถึง ปริมาณหนึ่งของพลังงานการแผ่รังสีที่เปล่งออกมาต่อวินาที ถ่วงน้ำหนักกับความไวตามนุษย์เชิงสเปกตรัม