หลอดฟลูออเรสเซนต์
หลอดไฟฟ้าชนิดนี้ มีลักษณะแตกต่างไปจากหลอดไฟฟ้าธรรมชาติชนิดไส้ กล่าวคือ ตัวหลอดทำด้วยแก้ว บางใสกลมยาวรูปทรงกระบอกหรือรูปวงกลม ภายในหลอดแก้วจะสูบอากาศออกเกือบหมด และบรรจุก๊าซอาร์กอนและปรอทไว้เล็กน้อย ที่ผิวด้านในของหลอดฉาบไว้ด้วยสารเคมีบางชนิดที่เปล่งแสงได้ เมื่อได้รับรังสีอัลตร้าไวโอเลต สารเคมีที่มีสมบัติดังกล่าวนี้เรียกว่า สารเรืองแสง ที่เหลือไส้หลอดแต่ละข้างจะมีขั้วโลหะอาบน้ำยาเพื่อให้กระจายอิเลคตรอนได้ ง่าย เมื่อได้รับความร้อนจากไส้หลอดขั้วโลหะเป็นขั้วไฟฟ้าที่เรียกว่า อิเลคโทรด (Electrode) ซึ่งขั้วไฟฟ้าจะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อต่อกระแสไฟฟ้าจากวงจรภายนอกเข้าสู่ตัว หลอด การใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ไม่สามารถต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้าในบ้านได้โดยตรง เหมือนกับหลอดไฟฟ้าธรรมดา เพราะจะทำให้หลอดไส้ขาดทันทีที่กระแสไฟฟ้าผ่าน ดังนั้นจึงต้องใช้ต่อร่วมกับอุปกรณ์อื่นอีก ได้แก่ สตาร์ตเตอร์ และบัลลัสต์
เป็นหลอดที่มีประสิทธิภาพแสงและอายุการใช้งาน มากกว่าหลอดไส้ หลอดฟลูออเรสเซนต์แท่งยาวที่ใช้แพร่หลายมีขนาด 36 วัตต์แต่ก็ยังมีหลอดแสงสว่างประสิทธิภาพสูง (หลอดซุปเปอร์ลักซ์) ซึ่งมีราคาต่อหลอดแพงกว่าหลอดแสงสว่าง 36 วัตต์ ธรรมดาแต่ให้ปริมาณแสงมากกว่าร้อยละ 20 ในขนาดการใช้กำลังไฟฟ้าที่เท่ากัน นอกจากนี้ยังมีหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (CFL) หรือหลอดตะเกียบชนิดให้สีของแสงออกมาเทียบเท่าร้อยละ 85 ของหลอดไส้ (ให้สีของแสงดีที่สุด) สำหรับใช้แทนหลอดไส้ช่วยประหยัดไฟ และอายุการใช้งานนานกว่า 8 เท่าของหลอดไส้ มี 2 แบบ คือแบบขั้วเกลียวกับขั้วเสียบ
หลอด LED
หลอด LED ถือว่าเป็นทางเลือกของอนาคตได้เลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติการทำงานที่ไม่มีการเผาไส้หลอด จึงไม่เกิดความร้อน แสงสว่างเกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอภายในสารกึ่ง พลังงานเปลี่ยนเป็นแสงสว่างได้เต็มที่ มีแสงหลายสีให้เลือกใช้งาน ขนาดที่เล็กทำให้ยืดหยุ่นในการออกแบบ การจัดเรียง นำไปใช้ด้านตกแต่งได้ดี มีความทนทาน ไม่ต้องห่วงเรื่องไส้หลอดขาด หรือหลอดแตก ด้านอายุการใช้งานก็อยู่ได้ถึง 50,000-60,000 ชั่วโมง ทั้งยังปรับหรี่แสงได้ง่ายกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ และที่สำคัญ ปราศจากปรอท และสารกลุ่มฮาโลเจนที่เป็นพิษ แต่มีข้อเสีย คือในปัจจุบันหลอด LED มีราคาสูงกว่าหลอดธรรมดาทั่วไปและมีความสว่างไม่มากนัก
หลอดไส้ หรือหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์นั้น จะมีข้อเเตกต่างจาก หลอดไฟ LED หลายอย่างเช่น
1. หลอดฟลูออเรสเซนต์มีสารปรอทอยู่ในหัวตัว หลอด ถ้าเกิดทำหลอดไฟแตกแล้วเกิดไปเหยียบเศษของหลอดไฟนั้น โดยไม่ล้างแผลทันที จะทำให้เป็นอันตรายร้ายแรง
2. หลอดไส้, หลอดฟลูออเรสเซนต์ มีอายุการใช้งานที่น้อย ยิ่งถ้าเราเปิดตลอด 24 ชั่วโมงแล้วล่ะก็อายุการใช้งานก็จะลดหลั่นไปจากเดิมเรือยๆ
3. หลอดไส้, หลอดฟลูออเรสเซนต์ กินไฟมาก ถ้าเปิดใช้งานไว้ตลอด 24 ชั่วโมง และทำให้เปลืองพลังงานไฟฟ้าของประเทศเป็นอย่างมาก หลายๆประเทศจึงประกาศยกเลิกใช้ หลอดไส้ หรือ หลอดฟลูออเรสเซนต์ไปตามๆกัน
4. หลอดไส้, หลอดฟลูออเรสเซนต์ นั้นมีอุณภูมิแสงมากเมื่อใช้งานในระยะเวลาหลายชั่วโมง จะทำให้มีความร้อนสูงมากและแตะต้องไม่ได้
5. หลอดไส้, หลอดฟลูออเรสเซนต์ จะเสียได้ง่ายเมื่อเกิดการ เปิด-ปิด กันบ่อยๆ
6. หลอดไฟ LED มีราคาแพงกว่า หลอดไส้ และ หลอดฟลูออเรสเซนต์ประมาณ 2-3 เท่า
7. หลอดไฟ LED มีอายุการใช้งานที่มากกว่าหลอดไส้ หรือ หลอดฟลูออเรสเซนต์ หลายเท่า โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 50,000 ชั่วโมง หรือ 4-5 ปี เลยทีเดียว
8. หลอดไฟ LED เมื่อเปิดสวิทช์ไฟแล้วหลอดจะติดทันทีโดยไม่มีการกระพริบเหมือนหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์
9. หลอดไฟ LED นั้นมีอุณหภูมิความร้อนที่น้อยกว่า หลอดไส้ และ หลอดฟลูออเรสเซนต์ เนื่องกินกระไฟน้อย จึงทำให้ LED ที่อยู่ข้างในหลอดนั้นเปล่งความร้อนออกมาได้น้อยกว่าหลอดไส้ และ หลอดฟลูออเรสเซนต์
10. หลอดไฟ LED ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นหลอดที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ต่ำ และตัวหลอดนั้น ทำมาจากพลาสติก และโพลีเมอร์ ซึ่งย่อยสลายได้ง่าย กว่าหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์
11. หลอดไฟ LED ประหยัดค่าไฟ มากกว่าหลอดไส้หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมื่อเทียบราคาค่าไฟ ต่อเดือนของหลอดไฟ LED กับ หลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์ จะเห็นความแตกต่างกันได้ชัด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงกว่าของ หลอดไฟ LED แต่เมื่อใช้ไปนานๆ จะเกิดจุดคุ้มทุน และทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างเห็นได้ชัด
12. หลอดไฟ LED มีความทนทานมากกว่าหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์ เนื่องจากหลอดไฟ LED ผลิตจากพลาสติก และโพลีเมอร์ ซึ่งมีความทนกว่าหลอดไส้ที่เปราะบางกว่า นอกจากนั้นยังทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้ดี จึงมีการนำไปใช้ติดตั้งบนเครื่องบิน และรถยนต์
เปรียบเทียบความสว่างที่เท่ากัน
- หลอดไส้กินไฟประมาณ 5 เท่าของหลอดฟลูออเรสเซนต์ และ 10 เท่าของหลอด LED
- หลอด LED ใช้พลังงานต่ำกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์หรือหลอดตะเกียบประมาณหนึ่งเท่าตัวเห็นได้ว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์กินไฟ 2 เท่าของหลอด LED...
ดังนั้นหลอดไฟ LED จึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า เพราะกินไฟเพียงครึ่งของหลอดตะเกียบประหยัดไฟ
ข้อดีของหลอด LED
- ใช้พลังงานน้อยกว่าหลอด Fluorescent และหลอดประหยัดทั่วไปประมาณ 40%-50%
- มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า 50,000 ชั่วโมง ถ้าใช้งานในบ้านหรือโรงงานที่เปิด 8-10 ชั่วโมง จะมีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 10 ปี
- ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา การเปลี่ยนหลอดไฟ ไม่ขาดง่าย ขั้วหลอดไม่ดำเหมือนหลอดยาวและหลอดตะเกียบ
- หลอด LEDs ปล่อยความร้อนน้อยมากเมื่อเทียบกับหลอดชนิดอื่นๆ ทำให้เมื่อใช้งานในห้องจะไม่รู้สึกระคายเคืองจากความร้อนที่ปล่อยออกมาจาก หลอดไฟ ช่วยลดพลังงานและการทำงานของเครื่องปรับอากาศภายในที่พักอาศัยเนื่องจากตัวหลอดมีความร้อนน้อยมาก
- แตกเสียหายยากและไม่มีชิ้นส่วนที่เป็นอันตรายเช่น กระจก และสารเคมีที่เคลือบอยู่ภายในตัวหลอดไฟ อย่างเช่น ปรอท ให้แสงสว่างสูงและคงที่ ไม่ร้อน ทำให้เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมที่ไวต่อแสง UV เช่นอุตสาหกรรมทอผ้าและอิเล็กโทรนิกส์ ไม่เสื่อมหรือเสียหายง่ายจากการเปิด/ปิดของหลอดไฟ
- ไม่ดึงดูดแมลงชนิดต่างๆให้เข้ามาเล่นไฟ ทำหลอดไฟไม่สกปรกและพื้นที่ที่ติดตั้งสะอาด
ที่มา : https://www.changsinled.com