การลดผลกระทบของแรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะ( Mitigation of Voltage Sags )
โดย : Admin


การลดผลกระทบของแรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะ
( Mitigation of Voltage Sags )

นางสาว วีรนุช จุลโพธิ์    วิศวกร 4    กองวิจัย ฝ่ายพัฒนาระบบไฟฟ้า
โทรศัพท์ : 590-5576 โทรสาร : 590-5810 email : mgrrsd@pea.or.th


              คำนำ(Introduction)

                เนื่องจากระบบจำหน่ายและสายส่งของการไฟฟ้ามีผู้ใช้ไฟร่วมกันหลายราย การเกิดฟอลต์ที่ผู้ใช้ไฟรายหนึ่งอาจส่งผล
              กระทบ ไปยังผู้ใช้ไฟรายอื่นที่อยู่ข้างเคียงหรืออยู่ไกลออกไป เนื่องจากรับไฟจากสถานีจ่ายไฟแห่งเดียวกัน       ดังนั้น
              ปัญหาแรงดันตกจึงเป็นปัญหาที่ทั้งผู้ใช้ไฟและการไฟฟ้าต้องร่วมกันแก้ไขและปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลด
              ปัญหาดังกล่าว

            การลดผลกระทบแรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะโดยทั่วไป (Overview of Mitigation Methods)
                  1. การลดระยะเวลาของการปลดวงจรเนื่องจากเกิดฟอลต์ (From Fault to Trip)  ดังได้กล่าวไว้แล้วว่าฟอลต์ คือ สาเหตุ
            หลักในการทำให้เกิดปัญหาแรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะขึ้นในระบบ การเกิดฟอลต์ที่ค่ากระแสลัดวงจรสูงๆ หรือการใช้กระแส
            โหลดมากๆ เช่น การสตาร์ทมอเตอร์ขนาดใหญ่ จะทำให้ขนาดของแรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะมีความลึกมาก    และหากระบบ
            ป้องกันกำจัดฟอลต์ได้ช้า ผลกระทบเนื่องจากระยะเวลาของแรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะอาจมีระดับความรุนแรงที่มากพอจะทำ
            ให้อุปกรณ์ของผู้ใช้ไฟปลดวงจรออก และเพื่อให้เกิดภาพที่ชัดเจนขึ้น รูปที่ 1.    จะแสดงให้เห็นแนวทาง ในการแก้ปัญหา
            แรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะที่เกิดจากการลัดวงจรซึ่งนำไปสู่การปลดวงจรของอุปกรณ์




รูปที่ 1. แสดงแนวทางในการลดปัญหาแรงดันตก
             
                 2. แนวทางการลดจำนวนของฟอลต์(Reducing the Number of Faults)    การป้องกันไม่ให้เกิดฟอลต์ขึ้นในระบบถือเป็น
               การแก้ปัญหาแรงดันตกชั่วขณะที่ดีที่สุด แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวได้ เนื่องจาก
              ระบบจำหน่ายและสายส่งที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันเป็นระบบเหนือดิน (Overhead Lines) มีโอกาสเกิดฟอลต์ได้   อย่างไรก็ตาม
               การลดจำนวนครั้งของการเกิดฟอลต์ในระบบอาจดำเนินการได้ดังนี้

               - การนำระบบ Underground Cables มาใช้งานแทนระบบ Overhead Lines เพื่อผลในการลดจำนวนครั้งของการเกิดฟอลต์
                 แต่ระบบ Underground Cables ก็มีข้อเสียที่ต้องพิจารณา คือ เมื่อเกิดความเสียหายต้องใช้เวลาซ่อมเป็นเวลานาน   ทำให้
                 ระยะเวลาไฟดับเกิดขึ้นนานเมื่อเปรียบเทียบกับระบบ Overhead Lines

               - การนำสายหุ้มฉนวนเช่น Aerial Cable หรือ Partially Insulated Cable (PIC) มาใช้งานแทนสายเปลือยในระบบ Overhead
                 Lines

               - การป้องกันมิให้ต้นไม้หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆที่อยู่ใกล้แนวระบบจำหน่าย  หรือสายส่งน้อยกว่าระยะปลอดภัยหรือครอบฉนวน
                 ไฟฟ้าเพื่อป้องกัน การเกิดฟอลต์

               - การเพิ่มค่าความเป็นฉนวนของระบบให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการเบรกดาวน์ของฉนวนจนนำไปสู่การ Flashover นั้นก็เป็น
                 อีกวิธีหนึ่งในการลดจำนวนการเกิดฟอลต์           โดยที่ระดับความเป็นฉนวนที่เพิ่มขึ้นจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะ
                 แวดล้อมของพื้นที่ด้วยว่ามีปัญหาเกี่ยวกับมลภาวะหรือไม่ เพราะหากมีปัญหาเรื่องมลภาวะ    ความจำเป็นในการเพิ่มระดับ
                 ความเป็นฉนวนให้มากขึ้นจะต้องถูกนำมาพิจารณา          อย่างไรก็ตามการทำนายระดับความรุนแรงของแรงดันฟ้าผ่านั้น
                 กระทำได้ยาก ดั้งนั้นการเกิดฟอลต์ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้

              - จัดทำแผนงานการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าทั้งในส่วนของผู้ใช้และการไฟฟ้าเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดฟอลต์

                   3 แนวทางการลดระยะเวลาในการกำจัดฟอลต์ (Reducing the Fault-Clearing Time)การลดระยะเวลาในการกำจัด ฟอลต์
                 มีส่วนช่วยลดความรุนแรงของปัญหาแรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะที่เกิดขึ้นในระบบ        ยกตัวอย่างกรณีของ Current - Limiting
                 Fuses ซึ่งสามารถกำจัดฟอลต์ได้ภายในเวลา Cycle       เป็นผลให้ระยะเวลาที่เกิดแรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะเกิดขึ้นเพียงชั่ว
                 ระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งโดยทั่วไปไม่เกิน 1 Cycle แต่ผลกระทบที่จะต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วยก็คือ   ค่าแรงดันไฟฟ้าเกิน (Over
                 Voltage) ที่เกิดขณะตัดวงจร รูปที่ 2. (a) แสดงรูปแบบของระบบป้องกันในระบบจำหน่ายที่ประกอบไปด้วยฟิวส์           และ
                 รีโคลสเซอร์ โดยที่รีโคลสเซอร์ติดตั้งเป็นระบบป้องกันสำหรับสายเมน   หรือสายเมนย่อยมีคุณลักษณะการทำงานที่สัมพันธ์
                 กันระหว่างกระแสและเวลา (Time Current Characteristic Curve)     และสามารถกำหนดค่าการทำงานได้ทั้งแบบทำงานเร็ว
                 (Fast Curve) และแบบทำงานช้า (Slow Curve) ส่วนฟิวส์ใช้ติดตั้งเป็นระบบป้องกันในสายแยกที่มีโหลดไม่มากนัก   ลักษณะ
                 การทำงานของฟิวส์เป็นแบบ Extremely Inverse Time Characteristic    คือเมื่อกระแสเกินพิกัดยิ่งมีค่ามากเวลาที่ฟิวส์หลอม
                 ละลายจะยิ่งเร็วขึ้น โดยปกติฟิวส์จะเริ่มหลอมละลายเมื่อมีกระแสเกินพิกัดตั้งแต่สองเท่าของพิกัดฟิวส์ขึ้นไป

                   ในการกำหนดค่าการทำงานของรีโคลสเซอร์และการเลือกชนิดของฟิวส์เพื่อกำจัดฟอลต์นั้นต่างก็มีส่วนในการลดผลกระทบ
                จากปัญหาแรงดันตกชั่วขณะ กล่าวคือหากตั้งค่าการทำงานของรีโคลสเซอร์ไว้เร็วหรือเลือกใช้ฟิวส์แบบ K    ปัญหาแรงดันตก
                ชั่วขณะจะเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเมื่อเกิดฟอลต์ขึ้นในระบบ    เนื่องจากอุปกรณ์ป้องกันสามารถกำจัดฟอลต์ได้รวดเร็ว
                แต่ทั้งนี้จะต้องพิจารณาการจัดการทำงานของอุปกรณ์ป้องกันให้สัมพันธ์ (Co-ordination) และชนิดของฟอลต์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น
                ว่าเป็นแบบชั่วคราวหรือถาวรประกอบกันไปด้วย จึงจะมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น




รูปที่ 2.(a) แสดงรูปแบบการป้องกันระหว่าง Fuse กับ Recloser



รูปที่ 2.(b) แสดงรูปแบบการป้องกันระหว่าง Overcurrent Relay



รูปที่ 3. แสดง Curve การทำงานของ Fuse และ Recloser
                 จากรูปที่ 2. (b) แสดงรูปแบบการป้องกันที่ประกอบไปด้วย Overcurrent Relay   ซึ่งเป็นรีเลย์ที่ออกแบบให้ทำงาน  เมื่อมี
              กระแสเกินพิกัดที่กำหนดไว้ ในการกำหนดค่าการทำงานของรีเลย์สามารถเลือกได้ 2 รูปแบบคือ     แบบ Fixed Time หรือ
              Definite Time และแบบ Inverse Time นอกจากนี้ลักษณะของ Inverse Time นี้ยังแบ่งออกได้หลายชนิด  คือ Long Inverse
              Time ,Standard Inverse Time ,Very Inverse Time และ Extremely Inverse Time ดังในรูปที่ 4.

                 ในการกำหนดค่าการทำงานโดยทั่วไปจะกำหนดค่าเริ่มต้นการทำงาน (Pick Up) ด้วยการทำงานในรูปแบบ Inverse Time
              และ รูปแบบ Definite Time สำหรับการทำงานแบบ Instantaneous และจากรูปที่ 4.   แสดงให้เห็นว่าที่ค่ากระแสลัดวงจรสูงๆ
              การทำงานในลักษณะInverse Time ชนิด Extremely Inverse Time จะให้ผลในการลดระยะเวลาของการเกิดแรงดันตกชั่วขณะ
              ได้ดีที่สุดเนื่องจากสามารถกำจัดฟอลต์ได้รวดเร็ว      นอกจากนั้นการกำหนดค่าการทำงานระหว่างรีเลย์ให้ทำงานสัมพันธ์กัน
              ก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งในการลดความรุนแรง ของแรงดันตกชั่วขณะไม่ให้ขยายวงกว้าง           โดยพิจารณากำหนดค่า Margin
              ระหว่างรีเลย์ตัวหน้าและตัวหลังให้น้อยลงเพื่อให้สามารถกำหนดค่า Pick Up ของรีเลย์ให้ต่ำลงได้        แต่อย่างไรก็ตามการ
              กำหนดค่าการทำงานดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขไม่ทำให้เกิดการ Trip  พร้อมกันระหว่างรีเลย์ตัวหน้า  (Protecting Relay)
              และตัวหลัง (Protected Relay)



รูปที่ 4. แสดง Curve การทำงานของ Overcurrent ชนิดต่างๆ
                       ในส่วนของระบบป้องกันของสายส่งโดยทั่วไปใช้ Distance Relay ในการป้องกันซึ่งมีรูปแบบการทำงานเป็นแบบ
                   Zone ดังรูปที่ 5.



รูปที่ 5. แสดงการทำงานเป็น Zone ของ Distance Relay

 
Protection Zone Distance Protection Setting Zone Time Coordination
Zone 1 Forward 80 - 85 % of Line1 0.015 - 0.035 Seconds
Zone 2 Forward 100 % of Line 1 + 40% of Transformer Impedance at remote end 0.300 - 0.600 Seconds
Zone 3 Forward 100 % of Line 1 + 60% of Transformer Impedance at remote end 0.600 - 1.000 Seconds
Zone 3 Reverse 10% of Zone 1 Reach 0.600 - 1.000 Seconds
                      หมายเหตุ : กรณีที่เป็น Radial Line


                 จากรูปที่ 5. เมื่อเกิดฟอลต์ที่ Zone 1 อุปกรณ์ป้องกันจะใช้เวลาในการกำจัดฟอลต์ด้วยเวลาที่เร็วมาก ดังนั้นระยะเวลาใน
                การเกิดแรงดันตกชั่วขณะจึงสั้นมากเช่นกัน แต่เนื่องจาก Zone 1 เป็น Zone การป้องกันสายส่ง สายจำหน่าย ในส่วนของ
                การไฟฟ้าที่อยู่ใกล้กับแหล่งจ่ายไฟขนาดของกระแสลัดวงจร   จึงมีค่ามากเป็นผลให้ขนาดความลึกของแรงดันตกชั่วขณะมี
                ค่ามากด้วยเช่นกัน การลดผลกระทบจากแรงดันตกชั่วขณะสามารถทำได้โดยการกำหนดค่าการทำงาน  (Operating Time)
                ในแต่ละZone ป้องกันให้น้อยที่สุดเพื่อลดระยะเวลาในการกำจัดฟอลต์          ซึ่งการกำหนดค่าดังกล่าวจะต้องพิจารณาให้
                สามารถทำงานสัมพันธ์กับรีเลย์ตัวอื่นๆด้วย

                    4. แนวทางการปรับปรุงระบบไฟฟ้า (Changing the Power System)     การลดผลกระทบตามแนวทางการปรับปรุงระบบ
                อาจทำโดยการ ติดตั้งระบบสำรองเพิ่มเติมให้กับโหลดที่มีความสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น

                 - การติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อช่วยรักษาระดับแรงดันระหว่างที่เกิดปัญหาแรงดันตกชั่วขณะให้กับโหลดที่ไม่สามารถ
                   ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของแรงดัน

                - แยกบัส(Bus)ระหว่างโหลดที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของแรงดันและโหลดอื่นๆ

                - พิจารณาเพิ่มแหล่งจ่ายให้กับโหลดที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของแรงดัน     โดยแหล่งจ่ายที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ควรมาจากแหล่ง
                  จ่ายเดียวกัน การลดผลของแรงดันตกชั่วขณะจึงจะได้ผลที่ดี

                     5. ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อลดผลกระทบเพิ่มเติม (Installing Mitigation Equipment)

                  - ติดตั้งเครื่องสำรองไฟฟ้าฉุกเฉิน (Uninterruption Power Supplies :UPS)    ไว้สำหรับจ่ายให้กับโหลดที่ไวต่อการเปลี่ยน
                    แปลงของแรงดัน เช่น คอมพิวเตอร์ วงจรควบคุมเครื่องจักร

                  - ติดตั้งมอเตอร์-เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Motor-Generator Sets)    ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาแรงดันตกในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
                    ได้ประมาณ 2.5 วินาที

                  - ติดตั้ง Voltage Source Converters (VSCs) ซึ่งจะสามารถจ่ายแรงดัน     เพื่อชดเชยขนาดของแรงดันตกได้ทั้งขนาดและ
                    เฟสโดยอาศัยวงจรSwitching DC Voltage

                  - ติดตั้งเครื่องควบคุมแรงดันแบบอัตโนมัติ (Automatic Voltage Stabilizer) ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแก้ไขปัญหาแรงดันตกได้
                    + - 15% ของแรงดันไฟฟ้าที่กำหนด   และสามารถควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายออกมาให้มีค่าเกือบคงที่เปลี่ยนแปลงไม่เกิน
                    + - 5%

                      6.วิธีการปรับปรุงอุปกรณ์ให้สามารถทนต่อสภาวะแรงดันตกชั่วขณะได้ (Improving Equipment Immunity)

                    - อุปกรณ์ประเภทอิเลคทรอนิคส์ ,คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ควบคุม ( เช่น อุปกรณ์แรงต่ำชนิด Single Phase )      สามารถ
                    ปรับปรุง โดยการต่อเพิ่มค่าความจุทางไฟฟ้าให้กับ internal dc bus ซึ่งการเพิ่มค่าความจุทางไฟฟ้า นี้จะช่วยทำให้อุปกรณ์
                    มีความสามารถในการทนต่อสภาวะแรงดันตกชั่วขณะได้นานขึ้น   เพราะค่าความจุทางไฟฟ้าจะช่วยขยายช่วงเวลาสูงสุดที่
                    อุปกรณ์สามารถทนต่อสภาวะแรงดันตกชั่วขณะ

                     - อุปกรณ์แรงต่ำชนิด Single Phase สามารถปรับปรุงได้โดยการปรับปรุงวงจรdc/dc converter ให้มีความซับซ้อนมากขึ้น
                    เพื่อช่วยขยายช่วงระดับแรงดันขาเข้าของอุปกรณ์ให้กว้างขึ้น         ซึ่งทำให้อุปกรณ์สามารถทำงานอยู่ได้ในขณะเกิดสภาวะ
                    แรงดันตก

                    - อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบ (Adjustable Speed Drives : ASDs)     จะเห็นว่าอุปกรณ์ประเภท AC Drives  จะสามารถทนต่อ
                    สภาวะแรงดันตกชั่วขณะที่เกิดเนื่องจาก Fault แบบ Single Phase และ Phase to Phase ได้ โดยการต่อเพิ่มค่าความจุทาง
                    ไฟฟ้าที่ dc bus สำหรับความสามารถในการทนต่อ Three Phase Fault  นั้นจำเป็นที่จะต้องไปปรับปรุงในภาคของอินเวอร์
                    เตอร์ และเรกติไฟเออร์ต่อไป

                     - การปรับปรุงอุปกรณ์ประเภทอุปกรณ์ปรับความเร็วรอบของ DC Motor (DC Adjustable Speed Drives) นั้นทำได้ยากมาก
                    เนื่องจากกระแสในขดลวดอาเมเจอร์ และแรงบิดของ DC Motor จะตกลงอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดสภาวะแรงดันตก    ดังนั้น
                    การลดผลกระทบเนื่องจากการเกิดสภาวะแรงดันตกชั่วขณะ จะขึ้นอยู่กับข้อจำกัดในการประยุกต์ใช้งานของ drives

                   - สำหรับการปรับปรุงอุปกรณ์อิเลคทรอนิค ประเภท drives และ process control computer นั้น สิ่งที่สำคัญ      คือ การหมั่น
                     ตรวจสอบการทำงานและสภาพของหน้าสัมผัส ,รีเลย์ และเซนเซอร์ต่างๆอย่างละเอียด

                  - เมื่อมีแผนการติดตั้งอุปกรณ์ตัวใหม่เข้าในระบบ ที่อุปกรณ์นั้นควรมีข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันตัวอุปกรณ์เอง      เมื่อเกิด
                    สภาวะแรงดันตกชั่วขณะ   หรือวิธีการปรับปรุงอุปกรณ์นั้นให้สามารถทนต่อสภาวะแรงดันตก แนบมาให้ด้วย หรือถ้าเป็น
                    ไปได้ควรให้ทางผู้ผลิตจัดรวมมากับคู่มือการใช้งานของอุปกรณ์นั้นเลย

                       7. ตัวอย่างเหตุการณ์ของการเกิดสภาวะแรงดันตกชั่วขณะ และวิธีลดผลกระทบเนื่องจากสภาวะแรงดันตกชั่วขณะนั้น
                     (Different Events and Mitigation Method)

                  - แรงดันตกชั่วขณะที่เกิดเนื่องจากการลัดวงจรในสายส่ง และในระบบจำหน่ายนั้นจะมีช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก โดยทั่วไป
                    จะมีค่าไม่เกิน 100ms ซึ่งการลดผลกระทบเนื่องจากแรงดันตกประเภทนี้ที่แหล่งจ่ายไฟ หรือการแก้ไขปรับปรุงในระบบ
                    นั้นทำได้ค่อนข้างยาก ทางเดียวที่จะช่วยลดผลกระทบได้คือ   การปรับปรุงอุปกรณ์ในระบบ หรือติดตั้งอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้า
                     สำรองที่อุปกรณ์ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเนื่องจากเกิดสภาวะแรงดันตก     ซึ่งอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้าสำรองสำหรับอุปกรณ์
                     แรงต่ำ ก็คือ UPS (Uninterruptible Power Supply) นั่นเอง

                  - เนื่องจากช่วงระยะเวลาที่เกิดสภาวะแรงดันตกเมื่อเกิดความผิดปกติในระบบจำหน่าย  จะขึ้นอยู่กับชนิดของอุปกรณ์ป้อง
                    กันที่เลือกใช้ในระบบนั้น เช่นอุปกรณ์ป้องกันประเภท ฟิวส์จำกัดกระแส จะสามารถปลดวงจรการทำงานเมื่อเกิดสภาวะ
                    ผิดปกติในระบบ ได้ที่ช่วงเวลาน้อยกว่า 1 cycle (1/50 วินาที) และอุปกรณ์ป้องกันประเภทรีเลย์กระแสเกิน    จะสั่งปลด
                    วงจรที่หน่วยเวลาเป็นวินาที ซึ่งหากเกิดสภาวะแรงดันตกเป็นระยะเวลานานและมีขนาดลึก จะทำให้อุปกรณ์ในระบบถูก
                    สั่งปลดวงจรแน่นอน    ดังนั้น  ในกรณีนี้การปรับปรุงแก้ไขที่ระบบไฟฟ้าจะเหมาะสมและทำได้ง่ายกว่าการปรับปรุงที่ตัว
                    อุปกรณ์

                  - การเกิดแรงดันตกชั่วขณะเนื่องจากมีความผิดปกติในระบบจำหน่ายที่ระยะไกลๆ   และการเกิดแรงดันตกชั่วขณะเมื่อมี
                    การสตาร์ทมอเตอร์ หากแรงดันที่ตกนั้นมีค่าไม่ต่ำกว่า 85% สภาวะแรงดันตกชั่วขณะนั้นก็จะไม่ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์
                    ตัวอื่นๆในระบบ ซึ่งถ้ามีอุปกรณ์ตัวอื่นในระบบถูกสั่งปลดวงจร       โดยที่ระดับแรงดันที่ตกชั่วขณะนั้นยังไม่ต่ำกว่า 85%
                    แสดงว่าต้องมีการปรับปรุงแก้ไขที่อุปกรณ์นั้นๆ แต่ถ้าอุปกรณ์ตัวอื่นในระบบถูกสั่งปลดวงจรเนื่องจากเกิดสภาวะแรงดัน
                    ตกที่มีขนาดอยู่ระหว่าง 70% - 80% และสภาวะแรงดันตกนั้นเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน     การแก้ปัญหาต้องทำโดยการ
                    ปรับปรุงที่ระบบแทน

                        สรุป (Conclusion)

                             เนื่องจากระบบไฟฟ้ากำลังประกอบด้วยส่วนสำคัญต่างๆ เช่น ระบบผลิต , ระบบสายส่ง และระบบจำหน่าย ซึ่งเมื่อ
                   ส่วนหนึ่งส่วนใดของระบบไม่ว่าจะอยู่ในส่วนของการไฟฟ้าหรือในส่วนของผู้ใช้ไฟฟ้าเกิดฟอลต์ขึ้นหรือมีการใช้กระแส
                   โหลดมาก ๆ เช่น การสตาร์ทมอเตอร์ขนาดใหญ่ ก็จะส่งผลให้ระดับแรงดันไฟฟ้าของระบบตกลงชั่วขณะ (Voltage Sags)
                   ซึ่งผู้ใช้ไฟที่ต่อร่วมอยู่ใน ระบบเดียวกันก็จะได้รับผลกระทบเนื่องจากแรงดันไฟฟ้าตกชั่วขณะนั้นด้วย      ดังนั้นการลด
                   ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายควรร่วมกันดำเนินการ       โดยอาจนำหลายๆวิธีดังที่กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้นมา
                   ประยุกต์ใช้ร่วมกัน ภายใต้เงื่อนไขของการทำงานที่สอดคล้องกันระหว่างส่วนต่างๆในระบบทั้งในส่วนของผู้ใช้ไฟฟ้าและ
                   การไฟฟ้าเอง

                         เอกสารอ้างอิง (References)

                     1. IEEE recommended practice for monitoring electric power quality, IEEE Std.1159-1995, New York : IEEE, 1995
                     2. Protective Relays Application Guide .GEC Alsthom Measurement Ltd, Stafford, U.K., 1987
                     3. IEEE recommended practice for evaluating electric power system compatibility with electronic process equipment,
                         IEEE Std. 1346-1998
                     4. W.E. Kazibew and M.H. Sendaula, Electric Power Quality Control Techniques, Van Nostrad Reinhold, New York,
                         1996
                      5. R.C. Dugan, M.F. McGranaghan, and H.W. Beaty, Electric Power Systems Quality, McGraw Hill, New York, 1996

เนื้อหาโดย: 9engineer.com (https://9engineer.com/)